บี.เค.ลาเท็กซ์ โปรดักส์ ลูกโป่งยางไทย ส่งความสุขให้คนทั่วโลก

วันที่ประกาศ 07 พฤษภาคม 2568


            “ลูกโป่ง” นับเป็นสัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองและความรื่นเริงที่ผู้คนทั่วโลกนิยมนำมาใช้ประดับประดา ตกแต่งสถานที่หรือมอบให้กันเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความสุขในช่วงเทศกาลหรืองานปาร์ตี้ต่าง ๆ รวมถึงการใช้ลูกโป่งเป็นสื่อแทนความรู้สึกดี ๆ ระหว่างกัน นอกเหนือจากการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อาทิ การตรวจวัดสภาพอากาศซึ่งนักอุตุนิยมวิทยาใช้ตรวจวัดความกดอากาศอุณหภูมิอากาศในชั้นบรรยากาศ และตรวจสอบความเร็วและทิศทางลมในระดับความสูง เป็นต้น แต่คงจะมีน้อยคนที่รู้ว่า ผู้ประกอบการไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกลูกโป่งชั้นนำของโลก มีการส่งออกไปมากกว่า 50 ประเทศ และมีกำลังการผลิตถึงปีละ 850 ล้านชิ้น คุณธนา เอื้อวิทยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.เค.ลาเท็กซ์ โปรดักส์ จำกัด บอกเล่าการเดินทางของน้ำยางจากต้นยางพาราธรรมชาติของไทยสู่การผลิตลูกโป่งสีสดใสก่อนส่งออกไปยังผู้บริโภคทั่วโลก

ลูกโป่งไทยมาตรฐานระดับโลก
            คุณธนา เล่าว่า กว่าจะเป็นโรงงานผลิตลูกโป่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2510 คุณเทียม เสร็จสวัสดิ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท บี.เค.ลาเท็กซ์ โปรดักส์ จำกัด เป็นผู้คิดริเริ่มธุรกิจลูกโป่งจากน้ำยางพาราธรรมชาติ โดยเริ่มจากธุรกิจภายในครอบครัว การผลิตในยุคแรก ๆ ใช้แรงงานคนเป็นหลักและจัดจำหน่ายลูกโป่งไปยังตลาดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพราะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและราคาย่อมเยาทำให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในเวลาอันรวดเร็ว ร้านค้าขายส่งในประเทศไทยเริ่มสนใจสินค้าและติดต่อไปจัดจำหน่ายเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถผลิตในครัวเรือนได้อีกต่อไป ในปี 2522 คุณเทียมได้จัดตั้งบริษัท บี.เค.ลาเท็กซ์ โปรดักส์ จำกัด ขึ้นที่แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ โดยเริ่มนำเครื่องจักรมาใช้ผลิตลูกโป่ง ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 30 ล้านชิ้นต่อปี และเริ่มตีตราสินค้าเป็นของตัวเองภายใต้สินค้าแบรนด์ BK® เพื่อจัดจำหน่ายไปยังตลาดในประเทศและเริ่มมีการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน

            คุณธนา กล่าวว่า ช่วงนั้นตลาดลูกโป่งเติบโตขึ้นมาก ในปี 2534 บริษัทได้ลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตที่จังหวัดสมุทรสาครด้วยเครื่องจักรใหม่และเทคโนโลยีที่ทันสมัย รองรับความต้องการของตลาดต่างประเทศที่มีสูงขึ้น ปัจจุบันโรงงานมีกำลังการผลิตลูกโป่งจำนวน 850 ล้านชิ้นต่อปี จัดจำหน่ายไปแล้วมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก โดยเป็นสินค้าขายดีอันดับ 1 ในอาเซียน

            “ด้วยโรงงานที่ทันสมัย ทำให้สินค้าที่ผลิตได้มีคุณภาพตามมาตรฐาน ISO9001/2015 ทำให้บริษัทได้รับรางวัล Prime Minister's Export Award และสินค้าได้ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานยุโรป (EN71) และมาตรฐาน American ASTM F963 ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยของเล่นที่สำคัญที่สุดในสหรัฐฯ ทำให้สามารถเปิดตลาดการค้าที่มีมาตรฐานสูงได้มากขึ้น” คุณธนา กล่าว
 
            ลูกโป่งแบรนด์ BK® ที่ผลิตจากโรงงานใหม่ มีลูกโป่งยางธรรมชาติ ลูกโป่งไนโตรซามีนต่ำ ลูกโป่งงานปาร์ตี้ ลูกโป่งงานพิมพ์ลาย ลูกโป่ง DIY และอุปกรณ์เสริมตกแต่งลูกโป่ง (Accessories) ที่ใช้ในงานทั่วไป งานตกแต่งโฆษณา และงาน Event และยังเป็นผู้ผลิต OEM (Original Equipment Manufacturer) ให้กับผู้นำเข้าจากต่างประเทศ ด้วยลูกโป่งหลากหลายรูปทรงให้เลือกมากกว่า 50 แบบ และมากกว่า 120 สี ทำให้ลูกค้าต่างชาติชื่นชอบสินค้าของบริษัทและมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

จุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่ง
            คุณธนา กล่าวว่า ลูกโป่งเป็นสินค้าที่นำไปใช้งานได้หลากหลายมาก ใช้สำหรับให้เด็กเล่นหรือใช้ในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ภายในบ้านไปจนถึงกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมที่ใช้ลูกโป่งตกแต่งในงาน Event ใหญ่ ๆ เช่น แถลงข่าว งานเหล่านี้ต้องการลูกโป่งที่สวยงามและโดดเด่น สีของลูกโป่งต้องสวยและไม่เพี้ยน ไม่มี defect จุดด่าง หรือคราบต่าง ๆ ราคาของลูกโป่งจะแตกต่างกันไปตามคุณภาพ แผนการผลิตในปัจจุบันคือ การผลิตลูกโป่งสำหรับงานตกแต่งคุณภาพระดับพรีเมียมที่เทียบเท่ากับแบรนด์ชั้นนำของสหรัฐฯ ในด้านของสีและการเก็บรักษาก๊าซฮีเลียมได้มากกว่า 24 ชั่วโมง ในราคาขายที่แข่งขันได้

            “ความเด่นของแบรนด์คือ คุณภาพน้ำยางที่ใช้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราแปรรูปขั้นต้นอันดับ 1 ของโลก มีหน่วยงานกำกับดูแลและส่งเสริมอุตสาหกรรมยางอย่างครบวงจรทั้ง Supply Chain ยางพาราไทยมีคุณภาพและมาตรฐานสูงและเป็นที่ยอมรับในระดับโลกเมื่อนำมาผลิต Physical Property ของลูกโป่งก็จะดีตาม เมื่อบรรจุก๊าซฮีเลียมก็จะลอยตัวได้ดี เนื้อลูกโป่งมีความยืดหยุ่นสูง ไม่ฉีกขาดหรือแตกง่าย คุณสมบัตินี้ทำให้ลูกค้าชาวจีนมีความต้องการสั่งซื้อยางพาราของไทยไปใช้ผลิตลูกโป่งเช่นกัน” คุณธนา กล่าว

            สำหรับการเปิดตลาดต่างประเทศนั้น คุณธนามองว่าไม่ยากแต่จะต้องศึกษาตลาดส่งออกให้ดี เพราะแต่ละประเทศจะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การมองหาผู้นำเข้าแต่ละตลาดก็ไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องของ Taste กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปส่วนมากชอบสีทึม สหรัฐฯ ชอบการจับคู่สีที่ Match ในขณะที่ลูกค้าจีนชอบสีสดใส เงาวาว เป็นต้น ซึ่งเราจำเป็นต้องรู้จักลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ขณะนี้บริษัทส่งออกลูกโป่งราว 85% ของกำลังการผลิตไปยัง 50 ประเทศทั่วโลก และยังมุ่งขยายตลาดไปยังออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา

ปรับตัวรับกระแส ESG
            คุณธนา กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 58 ปี บริษัท บี.เค.ลาเท็กซ์ โปรดักส์ จำกัด ปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปัจจุบันกฎเกณฑ์การค้าโลกได้เปลี่ยนแปลงไปโดยผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ผู้ประกอบการต้องทำธุรกิจอย่างมี ESG (Environmental, Social, and Governance) กล่าวคือ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีการบริหารจัดการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

            “สิ่งที่เราทำแล้วคือ การลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล หันมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เช่น Solar Rooftop มากขึ้น  การใช้น้ำยางพาราเป็นวัตถุดิบในการผลิตลูกโป่งต้องเป็นไปตามกฎหมาย EUDR (European Union Deforestation-free Regulation) ของสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นกฎหมายที่จำกัดการทำลายป่า อันเนื่องมาจากการทำอุตสาหกรรมป่าไม้และการเพาะปลูกทางการเกษตร มีผลบังคับใช้กฎหมายใหม่ตั้งแต่ปลายปี 2567 กับ 7 ประเภทสินค้าเกษตร ได้แก่ ยางพารา กาแฟ ปาล์มน้ำมัน โกโก้ ไม้ โค และถั่วเหลือง และยังหมายรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ แม้จะมีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจากมาตรฐาน ESG หากสามารถเพิ่มยอดขายและบริหารต้นทุนได้ดีก็คุ้มค่า” คุณธนา กล่าว

            นอกจากนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับการใช้และทิ้งลูกโป่งอย่างถูกวิธีด้วยความรับผิดชอบ เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมจากขยะที่ไม่จำเป็น ไม่สนับสนุนการปล่อยลูกโป่งให้ลอยไปบนท้องฟ้าซึ่งจะกลายเป็นขยะบนพื้นโลกและเป็นขยะในทะเล จึงให้ความรู้กับลูกค้า ติดฉลากคำแนะนำและเผยแพร่วิธีการกำจัดขยะลูกโป่งที่ถูกต้อง เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมมีความรับผิดชอบหลังจากเสร็จสิ้นงานสังสรรค์ โดยคัดแยกประเภทขยะจากลูกโป่ง ซึ่งลูกโป่งผิวยาง (Latex Balloon) สามารถย่อยสลายได้ในสภาพแวดล้อมปกติภายใน 6 เดือน-4 ปี

การสนับสนุนจาก EXIM BANK
            คุณธนา กล่าวว่า บริษัท บี.เค.ลาเท็กซ์ โปรดักส์ จำกัด เป็นลูกค้าของ EXIM BANK มานานกว่า 21 ปี โดยใช้บริการรับประกันการส่งออกอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าการทำประกันการส่งออกล่าสุดที่ 20 ล้านบาท โดยเห็นว่าบริการนี้ทำให้บริษัทมีความมั่นใจในการขยายตลาดการค้าใหม่ ๆ กับประเทศที่ยังไม่เคยค้าขายกันมาก่อน หากไม่ใช่ลูกค้ารายใหญ่หรือเป็นบริษัทนำเข้าที่มีชื่อเสียง การจะเริ่มค้าขายเป็นเรื่องยาก หรือลูกค้าที่ยังไม่เป็นที่รู้จักบางรายอยากซื้อขายเป็น Credit Term แต่เราไม่กล้า หากมีประกันการส่งออก ก็จะทำให้รู้สึกปลอดภัยที่จะส่งออก

            “ประกันการส่งออก ทำให้เรากล้าเปิดตลาดหรือตกลงซื้อขาย จำนวนเบี้ยประกันไม่แพงและคุ้มค่ามาก เมื่อขยายตลาดหรือได้รู้จักลูกค้าแล้ว การค้าขายครั้งต่อไปก็ง่ายและคล่องตัวขึ้น” คุณธนา กล่าว

ฝากถึงผู้ที่สนใจจะเริ่มต้นธุรกิจส่งออก
            คุณธนาแนะนำผู้ประกอบการที่สนใจจะเริ่มต้นธุรกิจส่งออกว่า ต้องศึกษาตลาด มาตรฐานและกฏระเบียบการค้าของแต่ละประเทศที่เราสนใจจะส่งสินค้าไปจำหน่ายให้ดี เพราะแต่ละตลาดมีความแตกต่างกัน เราจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละช่วง ต้องทำตัวให้ Qualify กับทุกตลาด หากไม่มั่นใจกับคู่ค้าก็ควรซื้อประกันการส่งออกเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงเรื่องของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถขอคำแนะนำจาก EXIM BANK ได้