.jpg.aspx)
ทุกวันนี้ผู้บริโภคทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพและแสวงหาทางเลือกจากธรรมชาติ “สมุนไพรไทย” จึงเป็นสินค้าที่ได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงในระดับโลก ถึงสรรพคุณทั้งด้านการรักษาโรคและการดูแลสุขภาพแตกต่างกันไปตามชนิดของสมุนไพร เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ตำรับยาไทย ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ที่มีที่มาจากสมุนไพรผสานกับมรดกภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมายาวนานกับกระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มารังสรรค์ให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีจุดยืนแข็งแกร่งในตลาดสุขภาพระดับนานาชาติ บริษัท ชีววิถี เฮิร์บ จำกัด เป็นตัวอย่างของผู้ประกอบการไทยที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย ร่วมกับกลุ่มชาวบ้านในตำบลน้ำเกี๋ยน อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน สินค้าที่ผลิตเพื่อใช้กันเองในชุมชนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนขยายเป็นวิสาหกิจชุมชน ต่อยอดด้วยนวัตกรรมจนสามารถส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศได้
เริ่มต้นจากชุมชน
คุณศิรินันท์ สารมณฐี กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง บริษัท ชีววิถี เฮิร์บ จำกัด เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของธุรกิจเกิดจากการรวมกลุ่มกันของชาวบ้านในตำบลน้ำเกี๋ยน อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เพื่อนำสมุนไพรในท้องถิ่นมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน เช่น สบู่ แชมพู โลชั่น โดยมีเป้าหมายเพื่อลดค่าใช้จ่ายและช่วยให้ชาวบ้านได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ หนึ่งในผลิตภัณฑ์แรก ๆ ที่ได้รับความนิยมคือ แชมพูใบหมี่ มีสรรพคุณช่วยบำรุงเส้นผมให้ดกดำอย่างเป็นธรรมชาติ ลดปัญหาผมร่วง โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง เมื่อผลตอบรับดีสมาชิกในกลุ่มจึงร่วมกันจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนในปี 2551 ด้วยจำนวนสมาชิก 79 คน เริ่มมีการลงทุนศึกษาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยใช้สมุนไพรในท้องถิ่น อาทิ ผักเชียงดา ดอกอัญชัน มะเฟือง มะกรูด มะขาม ขมิ้นชัน ฯลฯ
คุณศิรินันท์ กล่าวว่า เมื่อรวมกลุ่มกันแล้ว ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกสมุนไพรขาย โดยวิสาหกิจชุมชนชีววิถีรับซื้อสมุนไพรที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีทั้งหมด เพิ่มโอกาสให้คนในท้องถิ่นมีงานทำ ด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม จึงนำผลกำไรที่ได้ในแต่ละปีกลับมาพัฒนาชุมชนทั้ง 5 หมู่บ้าน และดูแลรักษาทรัพยากรป่าชุมชน อันเป็นแหล่งสมุนไพรเพื่อให้มีใช้อย่างยั่งยืนสืบไป ผลิตภัณฑ์ทุกรายการยังเน้นการใช้วัตถุดิบต้นน้ำ ปลอดสารเคมีจากชุมชน นำมรดกภูมิปัญญาของชุมชนมาผสานกับความรู้เชิงวิชาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในปี 2558 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นคือ การจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในชื่อ บริษัทชีววิถี เฮิร์บ จำกัด เพื่อขยายธุรกิจจากกลุ่มโอทอปสู่อุตสาหกรรมขนาดเล็ก และเพื่อความคล่องตัวในการขยายตลาด
ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ ในปี 2558 จึงได้ยกระดับกระบวนการผลิตภายใต้ระบบมาตรฐาน GMP ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับการรับรองมาตรฐาน Asian Cosmetic GMP และมาตรฐานสากลอื่น ๆ ตามมา ในปีต่อ ๆ มาคือ ISO9001:2015, ISO22716, HALAL, GHP, HACCP และยังได้รับรางวัลคุณภาพการผลิตจากสำนักงานอาหารและยา หรือรางวัล อย. ควอลิตี้อวอร์ด ต่อเนื่องกันมาแล้วถึง 6 ปี รวมถึงรางวัลวิสาหกิจชุมชนดีเด่นระดับประเทศของกรมส่งเสริมการเกษตร และรางวัลชนะเลิศ MSME Provincial Champion Awards 2023 จากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนชีววิถี และบริษัท ชีววิถี เฮิร์บ จำกัด มีรายได้จากการรับจ้างผลิต (OEM) ประมาณ 40% และรายได้จากการสร้างแบรนด์ของตนเอง 60% ภายใต้ 2 แบรนด์หลักคือ ชีวาร์ (Chewa) และชีวาน่า (Chewana) อีกทั้งสมาชิกวิสาหกิจชุมชนซึ่งเป็นต้นน้ำในการปลูกสมุนไพร ได้ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 250 ครอบครัว
จากท้องถิ่น…สู่ตลาดโลก
คุณศิรินันท์ กล่าวว่า เริ่มแรกสินค้าเป็นผลิตภัณฑ์โอท็อป ความท้าทายในการพัฒนาสินค้าปีแรก ๆ คือ การควบคุมคุณภาพของสินค้าให้ดี จึงได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง และหน่วยงานภาครัฐ เช่น สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ในการถ่ายทอดความรู้ เปลี่ยนจากการนำสมุนไพรมาผลิตโดยตรง เป็นการสกัดสมุนไพรด้วยเทคโนโลยีเครื่องสกัดสารภายใต้สุญญากาศจนได้สารออกฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพดีกว่าเดิม และมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
“ช่วงแรก ในปี 2559 เราเริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในโมเดิร์นเทรด ในท็อปซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านตำรับไทย เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มแชมพู และครีมบำรุงผิวกาย ภายใต้แบรนด์ Chewa จับตลาดกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป และเริ่มจำหน่ายช่องทางออนไลน์ หลังจากนั้นได้ขยายแบรนด์ พัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าพรีเมียม เพื่อจับกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางถึงระดับบน ภายใต้แบรนด์ Chewana ซึ่งเมื่อได้ไปออกบูทจำหน่ายยังต่างประเทศ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในประเทศตะวันออกกลาง” คุณศิรินันท์กล่าว
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์สมุนไพรแบรนด์ Chewa และ Chewana ได้ถูกพัฒนาออกมามากถึง 50 รายการ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า เครื่องดื่มสมุนไพร และอาหารเสริมสุขภาพ สินค้ามีจำหน่ายทั้งในโมเดรินเทรดหลายแห่ง ร้านค้าเพื่อสุขภาพ ร้านนวดสปา โรงแรม และแพลทฟอร์มในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ โดยยอดขาย 90% มาจากตลาดในประเทศ ขณะที่อีก 10% เป็นการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV นอกจากนี้ บริษัทยังมีธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับแบรนด์อื่น ๆ อีกด้วย
การสนับสนุนจาก EXIM BANK
คุณศิรินันท์ กล่าวว่า หนึ่งในเบื้องหลังความสำเร็จทางธุรกิจของบริษัทคือ การสนับสนุนจาก EXIM BANK ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญที่เข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าร่วมโครงการอบรมของ EXIM BANK อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ “The Road to Global E-Commerce” ที่ EXIM BANK จัดขึ้นร่วมกับ Alibaba.com เพื่อส่งเสริมให้ SMEs ไทยเข้าสู่ตลาดออนไลน์ระดับโลก และโครงการจับคู่ธุรกิจ Business Matching ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้เชื่อมโยงกับคู่ค้าต่างประเทศโดยตรง นอกจากนี้ บริษัทยังใช้บริการสินเชื่อหมุนเวียนเพื่อธุรกิจส่งออก และมีแผนจะใช้บริการประเมินความเสี่ยงผู้ซื้อ และบริการประกันส่งออกจาก EXIM BANK ในอนาคตเพื่อเสริมความมั่นใจในการค้าขายกับคู่ค้ารายใหม่
“EXIM BANK ไม่เพียงแต่สนับสนุนด้านการเงิน แต่ยังเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจที่ช่วยชี้แนะแนวทางในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการที่ยังใหม่ในเวทีโลก” คุณศิรินันท์ กล่าว
ฝากถึงผู้ประกอบการ SMEs
คุณศิรินันท์ ทิ้งท้ายด้วยการฝากเพื่อนผู้ประกอบการ SMEs ว่า กุญแจสู่ความสำเร็จของธุรกิจ SMEs คือ คุณภาพสินค้า สินค้าดีมีคุณภาพทำให้การทำตลาดเป็นเรื่องง่าย และโอกาสในการเติบโตจะตามมาเอง นอกจากนี้ ควรใช้ประโยชน์จากหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรสนับสนุนต่าง ๆ ที่พร้อมช่วยผลักดัน SMEs ไทยสู่ตลาดโลกอย่างเต็มที่ และถ้าเป้าหมายของคุณคือ การส่งออก EXIM BANK คือ พันธมิตรที่คุณไว้ใจได้