สถานการณ์สำคัญ
          ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเดือนพฤษภาคม 2561 ปรับเพิ่มขึ้นจากต้นปีถึงเกือบ 15% และทำสถิติแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี โดยมีสาเหตุมาจากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับประเทศผู้ผลิตในกลุ่ม OPEC และ
รัสเซียได้ตกลงร่วมกันที่จะลดกำลังการผลิตรวมกันราววันละ 1.8 ล้านบาร์เรลจนถึงเดือนธันวาคม 2561 ขณะเดียวกันก็ยังเป็นผลจาก
ปัจจัยเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอนในหลายประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายสำคัญของโลก อาทิ

          สหรัฐฯ ประกาศจะคว่ำบาตรอิหร่าน
             ต้นเดือนพฤษภาคม 2561 สหรัฐฯ ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่เคยทำไว้กับอิหร่าน และจะใช้มาตรการคว่ำบาตรทาง
เศรษฐกิจต่ออิหร่าน (ผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 5 ของโลก) อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันจะไม่รุนแรงนัก เพราะสหรัฐฯ
ไม่ใช่ตลาดส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ขณะที่นอกจากสหรัฐฯ แล้ว ยังไม่มีประเทศอื่นที่มีท่าทีจะคว่ำบาตรอิหร่าน อีกทั้งอิหร่านยังมี
ทางเลือกที่จะส่งออกน้ำมันไปอินเดียและจีนซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่เช่นเดียวกับสหรัฐฯ

          ปัญหาการเมืองในเวเนซุเอลา
             เวเนซุเอลาซึ่งเป็นประเทศที่มีแหล่งน้ำมันดิบสำรองใหญ่ที่สุดของโลก และยังเคยเป็นประเทศส่งออกน้ำมันอันดับต้นๆ ของโลก
กำลังเผชิญกับวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจเรื้อรัง จนส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันภายในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด International Energy Agency (IEA) คาดว่า ผลผลิตน้ำมันของเวเนซุเอลาจะลดลงต่ำสุดในรอบ 70 ปี เหลือ 1.38 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ในช่วงสิ้นปี 2561

          ความตึงเครียดทางการเมืองของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน
             ประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางหลายประเทศยังคงมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างกันที่ยังไม่คลี่คลาย โดยเฉพาะความ
ตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับประเทศในภูมิภาค เช่น ซาอุดีอาระเบียและอิสราเอล เพิ่มแรงกดดันต่อตลาดน้ำมันอยู่เป็นระยะ
  ราคาน้ำมันดิบ Brent รายเดือน  
  ที่มา : U.S. Energy Information Administration  
  ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นต่อภาคอุตสาหกรรมของไทย
          แม้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นว่า โลกอาจต้องเผชิญกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และบางรายคาดว่าจะสูงถึง
100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่ในภาพรวมแล้วยังเชื่อมั่นว่าราคาน้ำมันน่าจะปรับขึ้นไม่รุนแรงนัก เนื่องจากสหรัฐฯ ได้เพิ่มแท่นขุดเจาะ
น้ำมัน และเพิ่มปริมาณการผลิต Shale Oil สูงสุดเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งยังมีการเก็บน้ำมันสำรองเชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถนำมาใช้
ในกรณีฉุกเฉิน จึงเชื่อว่าการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ จะมาทดแทนน้ำมันส่วนที่หายไปจากอิหร่านและเวเนซุเอลาได้ นอกจากนี้ ยังต้อง
ติดตามการตัดสินใจของรัสเซียและซาอุดีอาระเบียว่าจะผ่อนคลายมาตรการจำกัดปริมาณการผลิตหรือไม่ ซึ่งหากทั้งสองประเทศมีการ
เพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นจริงก็จะมีส่วนช่วยทดแทนอุปทานน้ำมันดิบที่ลดลงได้ในระดับหนึ่ง

          ทั้งนี้ ผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นต่อภาคธุรกิจมีความแตกต่างกันตามธรรมชาติของแต่ละธุรกิจ โดยธุรกิจที่มีโอกาส
กลับมาเป็นที่จับตาอีกครั้งหากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นมากและนานพอ คือ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลาสติกชีวภาพ
สำหรับโอกาสและผลกระทบของแต่ละอุตสาหกรรมมีดังนี้
  +

+

+



+
+

+
+
ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จะมีรายได้เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน และในระยะสั้นจะมีกำไร
จากสต็อก
เชื้อเพลิงทดแทนน้ำมัน อาทิ เอทานอล และไบโอดีเซล คาดว่าจะได้รับผลดีจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทน
น้ำมัน รวมถึงสินค้าเกษตรที่ใช้เป็นวัตถุดิบอย่างมันสำปะหลัง อ้อย และปาล์มน้ำมัน ก็จะได้รับผลดีตามไปด้วย
ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน แม้ไทยจะมีแผนชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากธุรกิจพลังงานทดแทน แต่คาดว่า
หากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นมากและต่อเนื่องเป็นเวลานานพอ หลายประเทศจะหันมาใช้มาตรการสนับสนุนเพื่อให้เกิดการ
ลงทุนเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนในหลากหลายรูปแบบ จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการทำธุรกิจ
ดังกล่าว และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอย่างระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System)
รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์รุ่นประหยัดน้ำมัน มีโอกาสได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
พลาสติกชีวภาพ ซึ่งตอบโจทย์ด้านความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีโอกาสกลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกครั้ง
หากราคาน้ำมันสูงถึงระดับที่ทำให้ราคาพลาสติกชีวภาพพอจะแข่งขันกับราคาพลาสติกทั่วไปที่ผลิตจากปิโตรเลียมได้
ยางพารา ราคายางพารามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามราคายางสังเคราะห์ที่ใช้วัตถุดิบจากปิโตรเลียม
ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน มีโอกาสได้รับผลดีจากผู้ป่วยตะวันออกกลางที่เดินทางเข้ามารับการรักษามากขึ้น หลังมีรายได้
จากการขายน้ำมันเพิ่มขึ้น
  -

-

-
ธุรกิจเกษตรแปรรูป ได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ทั้งราคาปุ๋ย ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ค่าขนส่ง ตลอดจน
การทำประมงที่ต้องใช้เรือประมงออกไปจับสัตว์น้ำ อีกทั้งยังต้องแย่งชิงวัตถุดิบกับกลุ่มพลังงานชีวมวล
ธุรกิจเหล็ก ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และผลกระทบทางอ้อมจากต้นทุนค่าขนส่ง เนื่องจาก
เป็นสินค้าที่มีน้ำหนักมาก
ธุรกิจสายการบิน ขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งมีต้นทุนน้ำมันเป็นสัดส่วนสูง จะต้องรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น

            อย่างไรก็ตาม ระดับความรุนแรงของผลกระทบต่อผู้ประกอบการในแต่ละธุรกิจขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและ
อำนาจในการปรับเพิ่มราคาจำหน่าย
  เกร็ดน่ารู้  
 


RBC Capital Markets วาณิชธนกิจของแคนาดา ระบุว่า ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย เวียดนาม
และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีสัดส่วนรายจ่ายค่าน้ำมันสูงถึง 8-9% ของรายได้ จะได้รับผลกระทบจากราคา
น้ำมันที่สูงขึ้นมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วที่มีสัดส่วนรายจ่ายค่าน้ำมันเพียง 1-2% ของรายได้
ธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า จากสถิติในอดีต ราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับขึ้น 10% จะทำให้ GDP
ขยายตัวลดลง 0.1% อีกทั้งราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับขึ้นทุก 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ยังส่งผลให้
ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยลดลงราว 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  ข้อสังเกต  
            นอกจากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ยังมีอีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น
ในอนาคต คือ มาตรการขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime
Organization : IMO)
ที่กำหนดให้เรือเดินทะเลต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีปริมาณค่ากำมะถันไม่เกิน
0.5% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 จากปัจจุบันที่กำหนดไว้ไม่เกิน 3.5% ทั้งนี้ Morgan
Stanley คาดการณ์ว่า มาตรการดังกล่าวจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับสูงขึ้น
ไปแตะที่ระดับ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
 
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
 
  หน้าหลัก   I   Share โลกเศรษฐกิจ   I   เรื่องเล่าระหว่างทาง   I   ส่องเทรนด์โลก
เกร็ดการเงินระหว่างประเทศ   I   CEO Talk   I   แวดวงคู่ค้า   I   แนะนำบริการ   I   สรุปข่าว