เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลงกลายเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในช่วงที่ผ่านมา ภายหลังกองทุนการเงิน
ระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2562 อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 6 เดือนมาอยู่ที่ 3.3% ซึ่งเป็นระดับ
ต่ำสุดตั้งแต่เกิดวิกฤต Hamburger ในปี 2552 ขณะเดียวกัน ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) สหรัฐฯ
อายุ 10 ปี กับอายุ 2 ปี ซึ่งมักถูกนำมาใช้เป็นดัชนีบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ปรับลดลงจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปีในช่วง
ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งจากข้อมูลในอดีต หากส่วนต่างดังกล่าวติดลบ (Bond Yield 2 ปีมากกว่า 10 ปี) หรือ Inverted Yield
Curve มักเป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลงในระยะถัดไป นอกจากนี้ พบว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจในอีก 4 มิติที่จะสะท้อน
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในระยะถัดไป ได้แก่

         ผลสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ (Economist Survey) จัดทำโดย The Wall Street Journal ล่าสุด
ผลสำรวจเดือนเมษายนพบว่า นักเศรษฐศาสตร์ประเมินโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่
28% สูงสุดในรอบ 7 ปี ซึ่งหากย้อนกลับไปดูข้อมูลในอดีต พบว่า หากผลสำรวจดังกล่าวเข้าใกล้ระดับ 30% จะถือเป็น Trigger Point
สำคัญ โดยในช่วงเดือนกันยายน 2550 ผลสำรวจดังกล่าวเคยขยับขึ้นต่อเนื่องจนทะลุ 30% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนี
ดังกล่าวในปี 2545 ซึ่งหลังจากนั้นอีก 12 เดือนในเดือนกันยายน 2551 ก็เกิดปัญหาซับไพร์มขึ้นในสหรัฐฯ จนลุกลามกลายเป็นวิกฤต
เศรษฐกิจโลกในที่สุด

         ดัชนี Economic Surprise Index (ESI) จัดทำโดย Citi Group ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนถึงความแตกต่างระหว่างตัวเลขเศรษฐกิจ
ที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเลขคาดการณ์ หากดัชนีดังกล่าวติดลบหมายถึงว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาจริงแย่กว่าตัวเลขคาดการณ์ สะท้อนถึง
โมเมนตัมและความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในอนาคตที่ไม่ค่อยสดใสนัก ล่าสุดพบว่า ดัชนี ESI ของโลกเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา
แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี โดยเฉพาะค่าดัชนี ESI ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่ติดลบมากขึ้นต่อเนื่องในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จนมาอยู่
ที่ระดับ -37 ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ในวงกว้าง ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นในอดีต โดยค่าดัชนี ESI ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักติดลบมากขึ้นต่อเนื่องราว 1 ปี
จนแตะระดับต่ำสุดที่ -101.8 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2551 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งล่าสุด

         ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักมีวัฏจักร (Life Cycle) ราว 8-10 ปีในการปรับขึ้นจากจุดต่ำสุดสู่จุดสูงสุด และ
หลังจากนั้นจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นทุกครั้ง สังเกตได้จากการที่ดัชนี S&P 500 ซึ่งคิดเป็นประมาณ 80% ของมูลค่ารวม
ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 586 จุด ในปี 2533 ไปทำสถิติสูงสุดที่ 2,245 จุดในปี 2543 หลังจากนั้นก็เกิด
วิกฤตดอทคอมขึ้น และหลังจากนั้นอีกราว 8 ปีดัชนีดังกล่าวก็ทำสถิติสูงสุดอีกครั้งในช่วงปลายปี 2550 ก่อนเกิดวิกฤต Hamburger
ในปี 2552 ซึ่งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2562 ดัชนี S&P ก็ได้ปรับขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,945 จุด ครบ 10 ปีพอดี
หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในปี 2552

         ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ปัจจุบันกำลังเกิดสถานการณ์ที่ยอดค้าปลีกที่สะท้อนถึงการ
บริโภคภาคเอกชนซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ขยายตัวต่ำกว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง 10 เดือนติดต่อกัน
ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นก่อนเกิดวิกฤต Hamburger ที่ยอดค้าปลีกขยายตัวต่ำกว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องราว
12 เดือนเช่นเดียวกัน และตามมาด้วยการหดตัวอย่างรุนแรงในภาคการบริโภคและการผลิตของสหรัฐฯ

         ข้อมูลข้างต้นมิได้จะชี้ชัดว่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แต่เป็นหนึ่งในข้อสังเกตที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ
ในการนำมาใช้ติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญนอกเหนือจากตัวเลข GDP คาดการณ์จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งใน
ประเทศและต่างประเทศที่เผยแพร่อยู่เป็นประจำ เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้วางแผนและปรับกลยุทธ์ในการทำตลาด และป้องกันความเสี่ยง
ได้อย่างทันท่วงที

  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
 
  หน้าหลัก   I   Share โลกเศรษฐกิจ   I   เปิดประตูสู่ตลาดใหม่   I    รู้ทันเกมการค้า 
เกร็ดการเงินระหว่างประเทศ   I   แวดวงคู่ค้า   I   แนะนำบริการ   I   สรุปข่าว