ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการเงินหรือที่เรียกว่า FinTech (Financial Technology) เข้ามามีบทบาทอย่างมากกับพฤติกรรม
การจับจ่ายใช้สอยแบบไร้เงินสดของผู้บริโภคทั่วโลก จนทำให้เกือบทุกประเทศตื่นรับกระแสสังคมไร้เงินสด (Cashless Society)
ที่ขยาย วงกว้างมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังยึดติดกับการใช้เงินสดอย่างเวียดนาม สังเกตได้จากการที่รัฐบาล
เวียดนามมีนโยบายอย่างชัดเจนในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดภายในปี 2563 แม้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า
เป็นเรื่องยากที่เงินสดจะหายไปจากสังคมเวียดนาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชาวเวียดนามยังคุ้นเคยกับการใช้เงินสดมากกว่าการใช้จ่าย
รูปแบบอื่นๆ แต่ปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภครายได้ปานกลางในเวียดนามที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็วก็ปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายมาสู่ช่องทาง
อิเล็กทรอนิกส์หรือ e-Payment มากขึ้นเป็นลำดับ ประกอบกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่ทันสมัยทำให้การชำระเงิน
ผ่านระบบ e-Payment ในเวียดนามได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย สะท้อนได้จากมูลค่าการชำระเงินผ่านระบบ e-Payment ใน
เวียดนามที่สูงถึง 6.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2560 เพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อนหน้า และคาดว่ามูลค่าการชำระเงินผ่านระบบดังกล่าว
จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแตะระดับ 12.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 ทั้งนี้ การที่เวียดนามจะบรรลุเป้าหมายการเป็นสังคมไร้เงินสด
และการชำระเงินแบบ e-Payment จะกลายเป็นช่องทางหลักของคนทุกวัยในเวียดนามได้จริงหรือไม่ ต้องวิเคราะห์จากพลังของ
แรงหนุนสำคัญ ดังนี้
          การสนับสนุนจากภาครัฐ เนื่องจากเดิมเวียดนามเป็นประเทศที่เศรษฐกิจพึ่งพาเงินสด (Cash-based Economy) ในระดับสูง
ซึ่งประเทศที่พึ่งพาเงินสดจะมีต้นทุนแฝงในระบบเศรษฐกิจ อาทิ ต้นทุนการพิมพ์ธนบัตร และต้นทุนการทำธุรกรรมด้วยเงินสด (ถอนเงิน
โอนเงิน และเก็บรักษาเงิน) รวมทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาอื่นหลายด้าน อาทิ การคอร์รัปชัน การฟอกเงิน และการหลบเลี่ยงภาษี เนื่องจาก
การทำธุรกรรมด้วยเงินสดถูกตรวจสอบและติดตามได้ยาก ดังนั้น การก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดจะช่วยลดต้นทุนและปัญหาดังกล่าวให้กับ
ระบบเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง รัฐบาลเวียดนามจึงวางนโยบายการก้าวสู่สังคมไร้เงินสดภายในปี 2563 โดยตั้งเป้าลดสัดส่วนการใช้
เงินสดในการทำธุรกรรมต่างๆ ให้เหลือ 10% ของธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดของประเทศ ด้วยมาตรการพัฒนาระบบ e-Payment
ให้ครอบคลุมการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของชาวเวียดนามให้มากขึ้น อาทิ ตั้งเป้า 70% ของการชำระค่าสาธารณูปโภค ได้แก่
ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า และค่าโทรศัพท์ จะสามารถทำผ่านระบบ e-Payment รวมถึงการจ่ายเงินบำนาญของรัฐบาลและสวัสดิการสังคม
ผ่านระบบ e-Payment อีกทั้งจะผลักดันให้เกิดจุดรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Point of Sale) เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 300,000 จุด
ทั่วประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามยังมีแผนกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น จากปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
เพียง 2% (เทียบกับอัตราเฉลี่ยของโลกที่ 18% และของไทยที่ 6%) ด้วยการผลักด้นให้ห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต
ท้องถิ่นทั้งหมดในประเทศสามารถรับชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเครดิต ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าให้การใช้จ่ายผ่านระบบ e-Payment
ในประเทศเพิ่มขึ้นแตะระดับ 200 ล้านธุรกรรมต่อปี ภายในปี 2563
          การเข้าถึงสถาบันการเงินของชาวเวียดนามที่มากขึ้น เป็นที่ทราบกันดีว่าในอดีตชาวเวียดนามส่วนใหญ่ไม่นิยมฝากเงิน
ไว้กับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นค่านิยมของชาวเวียดนามในขณะนั้นที่มองว่าตัวเลขในบัญชีมีคุณค่าไม่เท่ากับการเก็บเงินสดที่จับต้องได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแนวคิดดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับภาคธนาคารของเวียดนามมีพัฒนาการที่แข็งแกร่งขึ้น ทำให้
ชาวเวียดนามหันมาเปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์มากขึ้นเป็นลำดับ สะท้อนได้จากข้อมูลของธนาคารกลางเวียดนามที่ระบุว่าจำนวน
บัญชีธนาคารในเวียดนามเพิ่มขึ้นจาก 16.8 ล้านบัญชีในปี 2553 เป็น 67.4 ล้านบัญชีในปี 2560 ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้า
ให้อย่างน้อย 70% ของชาวเวียดนามที่มีอายุมากกว่า 15 ปี ต้องมีบัญชีธนาคารภายในปี 2563 นับเป็นหนึ่งในมาตรการที่จะช่วย
ส่งเสริมให้ชาวเวียดนามเข้าถึงบริการทางการเงินของประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่านช่องทาง e-Payment ได้มากขึ้น
          การใช้อินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนของชาวเวียดนามที่เพิ่มขึ้น ตลาดอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนในเวียดนามขยายตัว
อย่างต่อเนื่องในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันเวียดนามถือเป็นประเทศที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดอันดับ 13 ของโลก โดย
ในปี 2560 จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในเวียดนามแตะระดับ 50 ล้านคน คิดเป็น 54% ของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่จำนวนผู้ใช้
สมาร์ทโฟนมีแนวโน้มขยายตัวเป็น 3 เท่าจากราว 30 ล้านคนในปี 2558 เป็น 90 ล้านคนในปี 2564 ทั้งนี้ การใช้อินเทอร์เน็ตและ
สมาร์ทโฟนในเวียดนามที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วได้แรงหนุนสำคัญจากราคาสมาร์ทโฟนในเวียดนามที่ไม่แพงมากนัก รวมถึงอัตราค่าใช้
บริการโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนการใช้จ่ายผ่านระบบ e-Payment ในระยะข้างหน้า
          การสร้างความมั่นใจในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับผู้บริโภคชาวเวียดนาม การที่เวียดนามจะก้าวไปสู่การเป็น
สังคมไร้เงินสด สิ่งหนึ่งที่จะมองข้ามไม่ได้ คือ การสร้างความเชื่อมั่นในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้กับ
ผู้บริโภคชาวเวียดนาม หรืออย่างน้อยต้องมั่นใจได้ว่าจะมีระบบกฎหมายมารองรับหากเกิดปัญหาขึ้น ดังนั้น รัฐบาลเวียดนามจึงได้ออก
กฎระเบียบภายใต้ Circular No.30/2016/TT-NHNN เมื่อเดือนตุลาคม 2559 ว่าด้วยสิทธิ์ของลูกค้าในการร้องเรียนปัญหาจากการ
ชำระเงินกับผู้ให้บริการ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผู้บริโภคชาวเวียดนามยินดีที่จะเปลี่ยนไปใช้ระบบ e-Payment ได้ในระดับหนึ่ง
          การพัฒนาโครงสร้างระบบการชำระเงินและกระแสความต้องการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดแรงดึงดูดการลงทุนจาก
ต่างประเทศเข้ามาสู่เวียดนาม อาทิ ผู้ให้บริการระบบ e-Payment สำคัญของโลกอย่าง Samsung Pay และ Apple Pay ขณะที่ธนาคาร
พาณิชย์ท้องถิ่นก็เริ่มปรับตัวรับกระแสดังกล่าว ล่าสุด Sacombank ได้เปิดบริการชำระเงินด้วย QR Code ในร้านค้าและร้านอาหาร
นับเป็นธนาคารพาณิชย์รายแรกในเวียดนามที่เปิดให้บริการการชำระเงินด้วยวิธีดังกล่าว สถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งกระตุ้นให้การบรรลุเป้าหมาย
ของการก้าวสู่การเป็นสังคมไร้เงินสดเกิดได้เร็วขึ้น และนั่นทำให้ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในเวียดนามที่ปรับตัวทันกับกระแสดังกล่าว
มีโอกาสกุมความได้เปรียบทางธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
 
  หน้าหลัก   I   Share โลกเศรษฐกิจ   I   เปิดประตูสู่ตลาดใหม่   I   ส่องเทรนด์โลก
เกร็ดการเงินระหว่างประเทศ   I   แวดวงคู่ค้า   I   แนะนำบริการ   I   สรุปข่าว