|
ที่มา : Voice of the Consumer : Lifestyle Survey 2022, Euromonitor |
|
|
 |
|
|
 |
|
2. พลาสติกและบรรจุภัณฑ์เป็นสิ่งแรก ๆ ที่ผู้บริโภคจะปรับเปลี่ยนเพื่อความยั่งยืน เนื่องจากเป็นสิ่งใกล้ตัวที่อยู่ในวิถีชีวิตประจำวันและปรับเปลี่ยนได้ไม่ยากเกินไป ทั้งนี้ ผลสำรวจผู้บริโภคปี 2565 พบว่า 3 ใน 5 สิ่งแรกที่ผู้บริโภคจะเลือกทำมากที่สุดเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมหรือเพื่อความยั่งยืน ล้วนเกี่ยวข้องกับพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้พลาสติก การรีไซเคิล หรือการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ จากผลสำรวจดังกล่าวยังมีข้อสังเกตว่า สัดส่วนผู้บริโภคที่เลือกซื้อสินค้าที่มีกระบวนการผลิตอย่างยั่งยืน (เช่น ปล่อยคาร์บอนต่ำ ใช้น้ำน้อย ไม่มีสารเคมีตกค้างที่เป็นพิษต่อผู้บริโภคหรือสิ่งแวดล้อม ไม่กดขี่แรงงาน รวมถึงใส่ใจสวัสดิภาพสัตว์) ยังมีสัดส่วนต่ำกว่ากิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งในแง่หนึ่งก็สะท้อนว่า แนวคิดเกี่ยวกับความยั่งยืนยังเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับคนส่วนใหญ่ กล่าวคือ แม้ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเห็นความสำคัญของความยั่งยืนหรือทราบว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ยังมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเรียกว่ายั่งยืน หรือควรเลือกซื้อสินค้าและบริการแบบใดจึงจะนำไปสู่ความยั่งยืน และในขณะเดียวกัน สัดส่วนผู้บริโภคที่เลือกซื้อสินค้าที่ผลิตอย่างยั่งยืนยังไม่สูงนักเมื่อเทียบกับสินค้าทั่วไป สะท้อนว่าในตลาดปัจจุบันยังมีสินค้าและบริการที่ยั่งยืนอยู่ไม่มากพอ ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าที่ยั่งยืนไม่มากนัก จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในการพัฒนาสินค้าหรือบริการที่ยั่งยืนเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการให้ข้อมูลเพื่อให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจที่ถูกต้องและหันมาปรับเปลี่ยนการเลือกใช้สินค้าของตนให้ยั่งยืนขึ้น |
|
|
 |
 |
|
ที่มา : Voice of the Consumer : Lifestyle Survey 2022, Euromonitor |
|
|
 |
|
 |
|
3. ผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังมีสัดส่วนใกล้เคียงกันในทุกระดับรายได้ แม้ว่าในภาพรวมจะยังมีผู้บริโภคที่เข้าใจไม่ชัดเจนนักว่าอะไรบ้างคือความยั่งยืน แต่ในทางกลับกัน ก็มีผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นแง่มุมที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญมากที่สุด โดยผู้บริโภคที่ระบุว่าตนเองใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง (Eco-conscious) จะเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยคาร์บอน พยายามลดปริมาณขยะโดยการนำสิ่งของกลับมาใช้ใหม่หรือนำไปรีไซเคิล และจะคอยสังเกตพฤติกรรมของตนเองและพยายามหาทางปรับปรุงให้ดีต่อโลกมากขึ้นเสมอ ๆ
เรื่องที่น่าสนใจคือ คนส่วนใหญ่มักคิดว่า การใส่ใจเรื่องความยั่งยืนหรือการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นความสนใจของผู้ที่มีรายได้สูง ๆ ที่มีเวลาว่างหรือมีกำลังซื้อมากพอจะเลือกซื้อสินค้ารักษ์โลกเท่านั้น ส่วนผู้ที่มีรายได้น้อยน่าจะหมดเวลาไปกับการดิ้นรนเอาตัวรอดจนไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่จากผลสำรวจในปี 2564 กลับพบว่า กลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังนี้กระจายตัวอยู่ในทุกระดับรายได้ในสัดส่วนที่ไม่ต่างกันนัก ดังนั้น ผู้ผลิตสินค้าจึงพึงตระหนักว่า ไม่ว่าสินค้าของท่านจะตั้งราคาอยู่ในระดับใด ก็จะมีผู้บริโภคราว 1 ใน 5 ที่ต้องการซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเสมอ |
|
|
 |
 |
|
ที่มา : Voice of the Consumer : Lifestyle Survey 2021, Euromonitor |
|
|
 |
|
 |
|
4. สิ่งแวดล้อมเป็นหัวข้อความยั่งยืนที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญมากที่สุด ผลสำรวจในปี 2565 พบว่ามีบริษัทถึง 85% ที่เห็นว่า “การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” เป็นหนึ่งในนิยามของความยั่งยืน โดยได้คะแนนสูงกว่าการลดการใช้พลังงานในการผลิต การดูแลชุมชนในท้องถิ่น หรือการดูแลพนักงาน ส่วนแผนการลงทุนใน 5 ปีข้างหน้า (ปี 2565-2570) มีบริษัทถึง 80% ที่ระบุว่าจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน |
|
|
 |
 |
|
ที่มา : Voice of the Industry Sustainability Survey 2022, Euromonitor |
|
|
 |
|
 |
|
5. เมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงาม ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้นกว่าวัตถุดิบหรือส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ หลายปีที่ผ่านมาผู้บริโภคมักเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย (Beauty and Personal Care) ที่ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ (Natural) หรือส่วนผสมที่เป็น Organic เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์จากสารเคมีในเครื่องสำอาง แต่จากผลสำรวจผู้บริโภคเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ความงาม 2 ครั้งล่าสุด พบว่าผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างการใช้บรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้หรือบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลมากขึ้น สวนทางกับความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติหรือใช้ส่วนผสมที่เป็น Organic ที่มีสัดส่วนผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ในปี 2563 ลดลง 6-8% จากปี 2559 |
|
|
 |
 |
|
6. ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามหันมาออกสินค้าในบรรจุภัณฑ์สำหรับเติม (Refill) หรือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้ (Reusable) มากขึ้น เพื่อลดการใช้ทรัพยากร นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์สำหรับอาบน้ำที่มีชนิดเติมจำหน่ายอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว ปัจจุบันผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงาม อาทิ เครื่องสำอางสำหรับการแต่งหน้า (Color Cosmetics) น้ำหอม และผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นกาย ต่างหันมาออกผลิตภัณฑ์ชนิดเติมกันอย่างหลากหลาย เพราะนอกจากจะช่วยลดปริมาณบรรจุภัณฑ์แล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางที่ปกติจะค่อนข้างยุ่งยาก เพราะมักประกอบด้วยชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่เป็นวัสดุต่างชนิดกัน |
|
|
 |
 |
|
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก www.yslbeautyth.com, https://shop.dior.co.th, www.trendhunter.com และ www.dove.com/ |
|
|
 |
 |
|
7. ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับอาบน้ำหันมาออกสินค้าแบบแข็ง (Solid) มากขึ้น เพื่อลดขยะที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ ปัจจุบันพบว่ามีผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับอาบน้ำในรูปแบบของแข็งมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสบู่หรือแชมพู เนื่องจากผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของแข็งทำให้ลดขยะที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ลงอย่างมาก ทั้งในแง่ปริมาณที่จะลดลงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลว และยังช่วยลดการใช้พลาสติก เพราะบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์สำหรับอาบน้ำในรูปแบบของแข็งส่วนใหญ่มักผลิตจากกระดาษจึงย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
ทั้งนี้ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์สำหรับอาบน้ำในรูปแบบของแข็ง โดยเฉพาะสบู่ก้อน ถูกใช้อย่างแพร่หลายอยู่แล้วในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (รวมถึงไทย) และทวีปอเมริกาใต้ ขณะที่ในยุโรปตะวันตกยังใช้กันไม่มากนัก แต่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจความยั่งยืน ซึ่งผู้ผลิตก็ตอบรับกระแสดังกล่าว และพยายามออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สวยงามน่าใช้ เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่หันมาใช้เพิ่มขึ้น |
|
|
 |
 |
|
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก https://nuddy.co.uk/ |
|
|