|  | 
  
    |  | 
  
    |  | 
  
    |  | 
  
    | 
      
        |  | ผ่านมากว่า 1 ปีแล้วที่เมียนมาปรับปรุงกฎหมายการลงทุนในธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีกเพื่อเอื้อให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุน ได้อย่างเสรีมากขึ้น กฎหมายดังกล่าวมีผลอย่างมากต่อการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในเมียนมา เนื่องจากเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ
 ต่างชาติเข้าไปทำธุรกิจลักษณะ Trading ได้ง่ายขึ้น ทำให้ความจำเป็นในการพึ่งพาตัวกลางนำเข้าสินค้าชาวเมียนมาลดลง ประกอบกับ
 กระแสการเข้ามาลงทุนร้านค้าส่ง/ค้าปลีกขนาดใหญ่อย่างซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า และไฮเปอร์มาร์เก็ต จากผู้ประกอบการต่างชาติ
 ร้อนแรงขึ้น เพราะต่างก็จับจ้องโอกาสนี้อยู่แล้วระยะหนึ่ง ดังนั้น กฎหมายค้าส่ง/ค้าปลีก จึงเป็นกฎหมายสำคัญที่ผู้ประกอบการไทย
 ที่สนใจเข้าไปทำธุรกิจในเมียนมาควรทำความเข้าใจเพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากกฎหมายดังกล่าวได้อย่างเต็มที่
 
 กฎหมายค้าส่ง/ค้าปลีก ฉบับใหม่
 กระทรวงพาณิชย์เมียนมาได้ออก Directive 25/2018 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2561 โดยกฎหมายดังกล่าวเปิดโอกาสการลงทุน
 ในธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีกให้กับบริษัทต่างชาติและบริษัทร่วมทุน (Joint Venture : JV) โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้
 
 • เงินลงทุนขั้นต่ำ
 
 |  | 
  
    | 
      
        
          | 
            
              
                |  |  
                |  |  
                |  |  
                | 
                  
                    
                      |  | ทั้งนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำดังกล่าวเป็นเงินลงทุนสำหรับใช้ซื้อสินค้าหรือนำเข้าสินค้าเพื่อมาจำหน่าย ไม่รวมเงินลงทุนสำหรับค่าเช่า ที่ดินและค่าใช้จ่ายในการบริหาร โดยสามารถแบ่งการโอนเงินลงทุนดังกล่าวเข้ามาในเมียนมา ดังนี้
 1. สัดส่วน 50% ในปีแรกของการลงทุน
 2. 30% ในปีที่สอง
 3. ส่วนที่เหลืออีก 20% ในปีที่สาม
 
 •	รายการสินค้าที่อยู่ภายใต้กฎหมายค้าส่ง/ค้าปลีก : สินค้าที่อนุญาตให้จำหน่ายได้ในธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีกที่จดทะเบียน
 ภายใต้กฎหมายดังกล่าว ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าในครัวเรือน อุปกรณ์เครื่องครัว เวชภัณฑ์และ
 เครื่องมือแพทย์ อาหารสัตว์และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ เครื่องเขียน เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์สื่อสาร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์
 วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ เมล็ดพันธุ์พืชและวัตถุดิบทางการเกษตร เครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องจักรกล จักรยาน
 จักรยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ของเล่นเด็ก อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ของชำร่วย งานศิลปะและอุปกรณ์ดนตรี
 
 • การจดทะเบียน : ผู้ประกอบการที่ต้องการประกอบธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีกในเมียนมา ต้องยื่นขอจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์
 ของเมียนมา โดยต้องมีเอกสารสำคัญ ดังนี้
 - ใบรับรองการจดทะเบียนบริษัท
 - สำเนาเอกสารรับรองการอนุมัติการลงทุนจาก Myanmar Investment Commission (MIC)
 - จดหมายแนะนำจากหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง
 - รายการสินค้าที่จะทำการค้า
 - แผนการดำเนินธุรกิจระยะ 5 ปี
 - หลักฐานการโอนเงินลงทุนขั้นต่ำเข้าประเทศ (ยื่นภายใน 30 วัน หลังจากการยื่นจดทะเบียนธุรกิจ)
 ทั้งนี้ ใบรับรองการจดทะเบียนธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีกจากกระทรวงพาณิชย์มีอายุ 5 ปี ค่าจดทะเบียนหรือค่าต่อทะเบียนอยู่ที่ครั้งละ
 50,000 จ๊าต
 
 •	ข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ : กฎหมายนี้ยังจำกัดไม่ให้บริษัทที่จดทะเบียนธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีกดำเนินการขายสินค้าแบบ
 Door-to-Door และสงวนธุรกิจค้าปลีกแบบมินิมาร์ทและร้านสะดวกซื้อขนาดพื้นที่เล็กกว่า 929 ตารางเมตร ไว้ให้กับบริษัทเมียนมา
 เท่านั้น
 
 โอกาสของธุรกิจค้าส่ง
 การออกกฎหมายค้าส่ง/ค้าปลีกดังกล่าวเอื้อต่อธุรกิจส่งออกสินค้าของไทย ซึ่งเดิมต้องพึ่งการส่งออกผ่านผู้นำเข้าหรือ Distributor
 เมียนมา เพื่อกระจายสินค้าไปยังตัวแทนจำหน่าย (Dealer) ทั่วประเทศ เนื่องจากกฎหมายเดิมไม่อนุญาตให้ผู้ประกอบการต่างชาติ
 ประกอบกิจการ Trading ในเมียนมา ดังนั้น ภายใต้กฎหมายใหม่ที่อนุญาตให้บริษัทต่างชาติทำธุรกิจค้าส่ง ผู้ประกอบการไทยสามารถ
 เปิดบริษัทในรูปแบบบริษัทต่างชาติ 100% หรือบริษัทร่วมทุน (JV) และจดทะเบียนธุรกิจค้าส่งในเมียนมา โดยทางการเมียนมา
 จะตรวจสอบว่ามีการตั้งคลังสินค้าจริง (ไม่กำหนดขนาดพื้นที่ขั้นต่ำ) ซึ่งบริษัทดังกล่าวสามารถนำเข้าสินค้าจากไทยเพื่อไปจัดจำหน่าย
 ให้กับตัวแทนจำหน่ายได้โดยตรง และจะช่วยลดต้นทุนที่เคยต้องจ่ายให้กับตัวกลางนำเข้าสินค้า รวมถึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ
 การกระจายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น
 |  |  
                |  |  
                |  |  
                |  |  
                |  |  
                | 
                  
                    
                      |  | โอกาสของธุรกิจค้าปลีก เมียนมายังคงสงวนสิทธิ์การตั้งร้านมินิมาร์ทและร้านสะดวกซื้อไว้กับผู้ประกอบการท้องถิ่นเท่านั้น  ดังนั้น โอกาสของธุรกิจค้าปลีก
 ของไทยในระยะแรกจึงเป็นการลงทุนธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ในลักษณะไฮเปอร์มาร์เก็ต ไปจนถึงห้างสรรพสินค้า และห้างค้าส่ง/ค้าปลีก
 วัสดุก่อสร้าง ส่วนผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดเล็กต้องอาศัยลงทุนในพื้นที่เช่าของธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่อีกทอดหนึ่ง ซึ่งคาดว่าพื้นที่
 ลักษณะดังกล่าวจะมีเพิ่มขึ้นมากในอนาคต
 
 |  |  |  | 
  
    |  | 
  
    |  | 
  
    | 
      
        
          |  | Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
 |  |  | 
  
    |  | 
  
    |  | 
  
    |  | 
  
    |   |