สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคและข้อมูลตลาด
เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในอินโดนีเซีย
 
            ตลาดเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในอินโดนีเซียเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากอินโดนีเซียมีประชากรถึง 250
ล้านคนมากเป็นอันดับ 4 ของโลกและมากที่สุดในอาเซียน อีกทั้งประชากรส่วนใหญ่ราวร้อยละ 85 ของประชากรทั้งประเทศ
นับถือศาสนาอิสลาม การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เป็นข้อห้าม นอกจากนี้ เศรษฐกิจอินโดนีเซียยังเติบโต
อย่างแข็งแกร่งด้วยอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 6 ต่อปีในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ย
ร้อยละ 6 ต่อปีในช่วงปี 2557-2561 ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเกื้อหนุนกำลังซื้อของชาวอินโดนีเซียให้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ The
Economist Intelligence Unit (EIU) คาดการณ์รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีของชาวอินโดนีเซียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 3,460
ดอลลาร์สหรัฐในปี 2556 เป็น 5,520 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2561 จะส่งผลให้การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและการนำเข้าสินค้า
ประเภทต่างๆ รวมถึงเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นตาม

          แม้ว่าปัจจุบันอินโดนีเซียเป็นตลาดส่งออกเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (ไม่รวมน้ำผลไม้) อันดับ 6 ของไทย แต่มูลค่า
ส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2557 การส่งออก
เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์จากไทยไปอินโดนีเซียมีมูลค่า 22.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวถึงร้อยละ 35 เทียบกับมูลค่า
ส่งออกรวมจากไทยไปอินโดนีเซียในช่วงเดียวกันที่หดตัวร้อยละ 15 สะท้อนถึงศักยภาพในการเติบโตของตลาดดังกล่าวใน
อินโดนีเซีย ทั้งนี้ เครื่องดื่มส่วนใหญ่ที่ไทยส่งออกไปอินโดนีเซีย คือ เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่ปรุงรสหวานอื่นๆ ที่ไม่ใช่
น้ำอัดลม อาทิ เครื่องดื่มผสมวุ้นมะพร้าว เป็นต้น และกาแฟสำเร็จรูป ขณะที่เครื่องดื่มอื่นๆ อาทิ น้ำผลไม้ยังส่งออกไม่มากนัก
มีมูลค่าราว 2.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

          สำหรับภาวะตลาดเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์และข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคในอินโดนีเซียที่น่าสนใจ มีดังนี้

           ตลาดเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในอินโดนีเซียมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง Euromonitor คาดว่าตลาด
เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในอินโดนีเซียมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 6 ต่อปีในช่วง 2558-2562 จากมูลค่าตลาดในปัจจุบัน
ราว 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ในปี 2556 อินโดนีเซียเป็นประเทศที่นำเข้าเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์มากเป็นอันดับ 2
ในอาเซียนรองจากมาเลเซีย ด้วยมูลค่านำเข้า 86.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 26 จากปีก่อน โดยนำเข้าจากไทย
มากเป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย ด้วยสัดส่วนราวร้อยละ 30 ของมูลค่านำเข้าเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมดใน
อินโดนีเซีย

          น้ำอัดลมยังครองความนิยมในอินโดนีเซีย น้ำอัดลมยังเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากชาวอินโดนีเซียมาก
ที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มวัยหนุ่มสาวที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี (มีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ) ซึ่งคุ้นเคยและ
เติบโตมาพร้อมกับการบริโภคน้ำอัดลม ปัจจุบันยอดจำหน่ายน้ำอัดลมมีสัดส่วนราวร้อยละ 20 ของตลาดเครื่องดื่มที่ไม่มี
แอลกอฮอล์ทั้งหมด (ไม่รวมน้ำเปล่า) รองลงมา คือ น้ำชาพร้อมดื่ม น้ำผัก-ผลไม้ และเครื่องดื่มเกลือแร่/เครื่องดื่มชูกำลัง
ทั้งนี้ ชาวอินโดนีเซียนิยมบริโภคเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวาน ดังจะเห็นได้จากการดัดแปลงนำน้ำอัดลมมาผสมกับนมข้นหวาน
จนกลายเป็นเมนูเครื่องดื่มท้องถิ่นในเกาะชวาที่เรียกว่า “Cloudy Ice” หรือ “Es Mega Mendung” ในภาษาท้องถิ่น ซึ่งการ
บริโภคเครื่องดื่มดังกล่าว ผู้บริโภคจะเทน้ำอัดลมใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเปล่า จากนั้นเทนมข้นหวานตามลงไปแล้วคนให้เข้ากัน
เครื่องดื่มนี้เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงและเป็นที่นิยมมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
อย่างไรก็ตาม กระแสความตื่นตัวในเรื่องการดูแลสุขภาพส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนเริ่มหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น
น้ำอัดลม ทำให้คาดว่าจะส่งผลให้ยอดจำหน่ายน้ำอัดลมในช่วงปี 2558-2561 ชะลอการขยายตัวเหลือเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี
จากเฉลี่ยร้อยละ 11.2 ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

          เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงามกำลังมาแรง ปัจจุบันเครื่องดื่มที่มีการประชาสัมพันธ์ว่ามีคุณสมบัติช่วยในการ
เสริมสุขภาพและความงามกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะน้ำผักผลไม้ที่มีการประชาสัมพันธ์ว่ามี
สารต้านอนุมูลอิสระและมีวิตามินสูง เช่น น้ำผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ตลอดจนน้ำส้ม น้ำมะม่วง และน้ำฝรั่ง ซึ่งมีวิตามินซีสูง รวมทั้ง
เครื่องดื่มผสมวุ้นมะพร้าว ซึ่งมีการทำตลาดว่ามีคอลลาเจนจากธรรมชาติที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณ นอกจากนี้ น้ำชา
พร้อมดื่ม โดยเฉพาะชาเขียวที่เจ้าของสินค้ารุกสร้างภาพลักษณ์ให้ผู้บริโภครับทราบถึงประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคระดับบนและระดับกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและสามารถรับราคาที่เพิ่มขึ้นได้ หากตระหนักถึง
คุณประโยชน์และความคุ้มค่า ยิ่งไปกว่านั้นผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังชอบทดลองเครื่องดื่มที่มีรสชาติแปลกใหม่และบรรจุภัณฑ์
แปลกตา โดยเฉพาะเครื่องดื่มนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มประเภทดังกล่าวของไทยหลาย
รายการมีการพัฒนาขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับสินค้าไทยที่จะขยายตลาดในอินโดนีเซีย

           ผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับราคามากกว่าตราสินค้า โดยผู้บริโภคจะเลือกซื้อสินค้า
ชนิดใหม่ที่ราคาต่ำกว่า หากรู้สึกว่าสินค้าชนิดใหม่นั้นสามารถทดแทนสินค้าเดิมที่ดื่มอยู่เป็นประจำได้ ทำให้การทำโปรโมชัน
ด้านราคาเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพในอินโดนีเซีย เช่น แบรนด์น้ำอัดลม Big Cola ที่เปิดตัวใน
อินโดนีเซียครั้งแรกในปี 2553 ด้วยการตั้งราคาให้ต่ำกว่า Coca-Cola ถึงร้อยละ 25 ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียบางส่วน
หันมาดื่ม Big Cola แทน Coca-Cola เนื่องจากรู้สึกว่าเป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้ จนทำให้ Big Cola สามารถชิงส่วนแบ่งตลาด
น้ำอัดลมบางส่วนจากเจ้าตลาดอย่าง Coca-Cola มาได้ โดยปัจจุบัน Big Cola มีสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของตลาดน้ำอัดลมใน
อินโดนีเซีย

          ตลาดเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในอินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีศักยภาพ แต่มีประเด็นที่ผู้ประกอบการควรตระหนัก
โดยเฉพาะมาตรการตรวจสอบสินค้านำเข้าอย่างเข้มงวดของอินโดนีเซีย อาทิ การกำหนดให้สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม
ที่นำเข้าต้องขึ้นทะเบียนอาหารและยา (ML Registration) เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งการขอ ML Registration
ต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 6 เดือน เป็นต้น

 
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์
ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ
ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด