เงินหยวนกับการก้าวขึ้นเป็นสกุลเงินหลักของโลก  
   
            ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนดำเนินนโยบายสนับสนุนเงินหยวนสู่สากล (RMB Internationalization) มาโดยตลอด
และพยายามที่จะผลักดันให้เงินหยวนเข้าเป็นส่วนหนึ่งในตะกร้าเงิน Special Drawing Rights (SDRs) ของกองทุนการเงิน
ระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจของจีนในเวทีโลก
เนื่องจากการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตะกร้าเงิน SDRs แสดงให้เห็นว่าเงินหยวนได้รับการรับรองจาก IMF ให้มีบทบาทอย่าง
แท้จริงในเวทีการเงินโลก นั่นหมายถึงการยอมรับให้ใช้เงินหยวนเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศร่วมกับการถือครองทองคำได้
ซึ่งจะทำให้จีนเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกที่ยกระดับสกุลเงินท้องถิ่นของตนสู่การเป็นสกุลเงินหลักของโลก

          สกุลเงิน SDRs กับบทบาทในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ
          SDRs เป็นสินทรัพย์ในสกุลเงินสมมติที่กำหนดขึ้นโดย IMF เมื่อปี 2512 ซึ่งจัดสรรให้ประเทศสมาชิก IMF ถือครอง
เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศ รวมทั้งเสริมสภาพคล่องให้เอื้อต่อการขยายตัวของภาคการเงินการธนาคาร
โดย SDRs เทียบได้กับสินทรัพย์ประเภททองคำ เงินตราต่างประเทศ และสินทรัพย์ส่งสมทบกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
(Reserve Position in the Fund) ที่จะสามารถนำออกมาใช้ได้เมื่อประเทศประสบปัญหาขาดดุลการชำระเงิน ทั้งนี้
ตะกร้าเงินที่ใช้คํานวณค่าเงิน SDRs ในช่วงปี 2554-2558 ประกอบด้วยเงิน 4 สกุลหลัก ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 41.9)
ยูโร (ร้อยละ 37.4) ปอนด์สเตอร์ลิง (ร้อยละ 11.3) และเยน (ร้อยละ 9.4) โดย IMF จะพิจารณาและทบทวนสกุลเงินและ
สัดส่วนสกุลเงินในตะกร้าเงิน SDRs ทุก 5 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าสกุลเงินในตะกร้ายังมีบทบาทสำคัญในตลาดเงินและตลาดทุน
โลก ซึ่งในปี 2558 จะครบกำหนด 5 ปีที่ IMF ต้องทบทวนองค์ประกอบของตะกร้าเงิน SDRs อีกครั้ง สำหรับค่าเงิน SDRs
ที่กำหนดขึ้นเป็นค่าอ้างอิงกับดอลลาร์สหรัฐจะเปลี่ยนแปลงตามภาวะตลาดเงินตราต่างประเทศเป็นรายวัน ปัจจุบันมีมูลค่า
อยู่ที่ 1.396870 ดอลลาร์สหรัฐต่อ SDR (ข้อมูลจาก IMF ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2558)

          หลักเกณฑ์สำคัญที่จีนจะต้องก้าวข้ามเพื่อให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินหลักของโลก
          หลักเกณฑ์สำคัญที่ IMF ใช้พิจารณาเลือกสกุลเงินในตะกร้าเงิน SDRs มีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ 1) ปริมาณการส่งออก
สินค้าและบริการของประเทศเจ้าของสกุลเงิน
โดยประเทศเจ้าของสกุลเงินนั้นต้องเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ของ
โลก และ 2) ต้องเป็นสกุลเงินที่มีอิสระในการใช้หรือเคลื่อนไหวได้อย่างเสรี โดยพิจารณาจากการเคลื่อนย้ายเงินทุน
ในบัญชีเงินทุน (Capital Account) ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าจีนผ่านเงื่อนไขข้อแรกอย่างไม่มีข้อกังขาด้วยมูลค่าการค้าระหว่าง
ประเทศปี 2557 ที่สูงเป็นอันดับ 1 ของโลก อย่างไรก็ตาม IMF เคยปฏิเสธที่จะนำเงินหยวนใส่ตะกร้าเงิน SDRs เมื่อปี 2553
เนื่องจากเงินหยวนไม่ผ่านเกณฑ์อิสระในการใช้ และไม่สามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนได้อย่างเสรี ทำให้มีอุปสรรคในการ
แลกเปลี่ยนเงินหยวนในตลาดเงินตราต่างประเทศและการใช้เงินหยวนข้ามแดน ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางจีน
(The People’s Bank of China : PBOC) ได้พยายามปรับปรุงให้เงินหยวนมีความเสรีมากขึ้น รวมทั้งผ่อนปรนการควบคุม
อัตราแลกเปลี่ยน เพื่อให้เงินหยวนเป็นที่ยอมรับในระดับสากลผ่านนโยบายและมาตรการทางการเงินต่างๆ ซึ่งสนับสนุนให้
เงินหยวนได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นลำดับ อาทิ การอนุญาตให้ใช้เงินหยวนชำระค่าสินค้าและบริการระหว่างประเทศในระดับ
ภูมิภาคและเริ่มขยายไปทั่วโลก การจัดตั้งศูนย์การชำระเงินสกุลหยวนนอกประเทศเพิ่มขึ้น การอนุญาตให้สถาบันการเงิน
ต่างชาติออกตราสารหนี้สกุลเงินหยวนในจีน รวมถึงการริเริ่มโครงการการลงทุนหลักทรัพย์ในจีนด้วยเงินหยวนโดยวิสาหกิจ
ต่างชาติที่ได้รับอนุญาต การเปิดช่องทางการลงทุนข้ามเขตแดนในนามบุคคล ตลอดจนการขยายช่วงความเคลื่อนไหว
(Band) ค่ากลางของอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงเงินหยวนรายวัน เพื่อให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ล่าสุดเมื่อเดือน
ตุลาคม 2558 PBOC ได้เปิดใช้ระบบชำระเงินหยวนข้ามแดนออนไลน์อย่างเป็นทางการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการชำระ
เงินหยวนข้ามแดน ส่งผลให้การใช้เงินหยวนในต่างประเทศมีความสะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น มาตรการต่างๆ เหล่านี้นับเป็น
ส่วนหนึ่งของการปฏิรูปทางการเงินของจีนที่มุ่งหวังจะให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินสากลที่ใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาด
โลกได้มากขึ้น รวมทั้งทำให้เงินหยวนสามารถเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด และสะท้อนภาวะตลาดได้ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน
ปริมาณเงินหยวนในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2557 ทะลุระดับ 1 ล้านล้านหยวนจากราว 1 หมื่นล้าน
หยวนในปี 2553 นอกจากนี้ จากข้อมูลของ Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication (SWIFT)
ณ เดือนสิงหาคม 2558 ระบุว่าเงินหยวนแซงหน้าเงินเยนของญี่ปุ่นขยับขึ้นเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการชำระเงินระหว่างประเทศ
มากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินยูโร และเงินปอนด์สเตอร์ลิง

          ยกระดับเงินหยวนสู่สากล...โอกาสของจีนที่จะแสดงบทบาทในเวทีเศรษฐกิจโลก
          IMF ส่งสัญญาณเชิงบวกว่าเงินหยวนมีโอกาสเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตะกร้าเงิน SDRs อย่างเร็วที่สุดหลังวันที่ 30
กันยายน 2559 เนื่องจาก IMF ได้ประกาศขยายระยะเวลาการใช้องค์ประกอบตะกร้าเงิน SDRs เดิมออกไปจนถึงวันที่ 30
กันยายน 2559 จากกำหนดเดิมวันที่ 31 ธันวาคม 2558 เพื่อให้การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงิน SDRs เป็นไปอย่าง
ราบรื่น และมีเวลาเพียงพอในการปรับตัวกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงสกุลเงินในตะกร้าเงิน SDRs สำหรับกรณีของจีนคาดว่า
คณะผู้บริหารของ IMF จะประกาศผลการตัดสินใจดังกล่าวภายในเดือนพฤศจิกายน 2558 ซึ่งหากจีนพลาดโอกาสในการนำ
เงินหยวนเข้าตะกร้าเงิน SDRs ในครั้งนี้จะต้องรอไปอีก 5 ปีกว่า IMF จะพิจารณาองค์ประกอบตะกร้าเงิน SDRs อีกครั้ง
          หากเงินหยวนได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของตะกร้าเงิน SDRs จะส่งผลให้เงินหยวนมีบทบาทมากขึ้นในตลาดเงินและ
ตลาดทุนโลก ทั้งด้านการค้าระหว่างประเทศและการท่องเที่ยว ตลอดจนเป็นสกุลเงินทางเลือกให้ประเทศต่างๆ ใช้เป็น
ส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศ สำหรับผลกระทบต่อไทยค่อนข้างเป็นไปในทิศทางบวก เนื่องจากในช่วง
ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมักได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากความผันผวนของสกุลเงินหลักของโลกอย่างเงินดอลลาร์
สหรัฐและเงินยูโร หากเงินหยวนสามารถเป็นสกุลเงินหลักของโลก จะช่วยกระจายความเสี่ยงด้านการบริหารทุนสำรอง
ระหว่างประเทศของไทยจากความผันผวนของเงินสกุลหลักสกุลใดสกุลหนึ่งได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรเริ่มศึกษา
ข้อมูลเกี่ยวกับบริการทางการเงินที่มีความสัมพันธ์กับเงินหยวน เพื่อเตรียมพร้อมเมื่อเงินหยวนยกระดับขึ้นเป็นสกุลเงินหลัก
ของโลกในอนาคต