 |
 |
|
Negative Interest Rate...เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจที่หลายประเทศเริ่มหันมาใช้ |
|
|
 |
 |
|
 |
ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of
Japan : BoJ) สั่นสะเทือนตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกด้วยการดำเนิน
มาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ย
เงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ในญี่ปุ่นฝากไว้กับ BoJ จากเดิม 0.1% มาเป็น
การกำหนดอัตราดอกเบี้ย 3 ขั้น ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำสุดอยู่ที่ -0.1%
(อัตราดอกเบี้ย 3 ขั้น ได้แก่ 0.1%, 0% และ -0.1% ขึ้นอยู่กับปริมาณ
เงินที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ BoJ) นับเป็นการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ (Negative Interest Rate) เช่นเดียวกับที่ยูโรโซนเริ่มใช้มาตั้งแต่ราว
กลางปี 2557 ตามด้วยสวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก และสวีเดน
หากพิจารณาถึงสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังการใช้ Negative Interest
Rate พบว่า ธนาคารกลางของทุกประเทศล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ
การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดแรงจูงใจของธนาคารพาณิชย์ในการนำเงิน
ดังกล่าวไปฝากไว้ที่ธนาคารกลาง โดยหวังผลให้ธนาคารพาณิชย์นำเงิน
ไปปล่อยกู้ในระบบเศรษฐกิจแทน ด้วยเหตุนี้ Negative Interest Rate
จึงเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในช่วงที่เครื่องมือที่เคยใช้อยู่เดิมอย่างการอัดฉีด
เงินเข้าสู่ระบบไม่ค่อยเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม กล่าวคือ ไม่ช่วยให้
เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ในส่วนของญี่ปุ่นมี |
|
|
|
จุดประสงค์เพิ่มเติมเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) และต้องการบรรลุอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ระดับ 2% ให้ได้ภายในช่วง
ครึ่งแรกของปี 2560
กลไกกระตุ้นเศรษฐกิจของ Negative Interest Rate อาจเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ ดังเห็นได้จากกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ในญี่ปุ่น
อาจพิจารณาผลักภาระอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้ BoJ ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแก่ลูกค้ารายย่อยและภาคธุรกิจ ซึ่งอัตรา
ดอกเบี้ยเงินฝากในระดับที่ไม่น่าจูงใจอาจเป็นแรงผลักดันให้ประชาชนนำเงินไปใช้จ่ายและภาคธุรกิจนำเงินไปลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผล
ในเชิงกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้เช่นกัน นอกจากนี้ Negative Interest Rate อาจส่งผลทางอ้อมในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยทำให้นักลงทุน
โยกเงินไปแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในต่างประเทศ ซึ่งจะก่อให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากญี่ปุ่นและกดดันให้เงินเยนอ่อนค่า ส่งผล
ให้การส่งออกซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญของญี่ปุ่นฟื้นตัวดีขึ้น
ปัจจุบันเริ่มมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวโน้มของการเกิดสงครามค่าเงินจากผลของการประกาศใช้ Negative Interest Rate
ที่ทำให้เงินเยนของญี่ปุ่น ณ วันที่ 29 มกราคม 2559 อ่อนค่าทันที 1.8% จากวันก่อนลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ที่ 121 เยนต่อ
ดอลลาร์สหรัฐ จึงมีความเป็นไปได้ว่าประเทศอื่นจะดำเนินรอยตามญี่ปุ่นเพื่อรักษาสถานะการแข่งขันของประเทศไว้ โดยเฉพาะยูโรโซน
ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงพร้อมกับขยายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
หรือไม่ ขณะที่ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดด้านเศรษฐกิจอย่างนาย Ben Bernanke อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ก็ออกมา
ให้ความเห็นว่า Negative Interest Rate เป็นเครื่องมือที่สหรัฐฯ ควรนำมาพิจารณาในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน |
|
|
 |
 |
 |
|
Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ ไม่ว่าโดยทางใด |
|
|
 |
 |
|