 |
 |
|
ดัชนีค่าเงินบาทกับความสามารถในการแข่งขัน |
|
|
 |
 |
|
 |
อัตราแลกเปลี่ยน ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ที่ส่งผล
กระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออก ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไป
ในปัจจุบัน เรียกว่า อัตราแลกเปลี่ยนตัวเงิน (Nominal Exchange
Rate) ซึ่งก็คืออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เทียบระหว่างเงิน
2 สกุลที่มีการซื้อขายกันในตลาด เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2559 อยู่ที่ 35.27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือ 39.49
บาทต่อยูโร เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าผู้ส่งออกทุกรายต้องการให้เงินบาท
อ่อนค่า เนื่องจากจะช่วยให้รายได้ของผู้ส่งออกเมื่อแลกเปลี่ยนกลับมาเป็น
เงินบาทเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยให้สินค้าไทยราคาถูกลงในสายตาผู้ซื้อ
ในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม อัตราแลกเปลี่ยนตัวเงินดังกล่าวเป็นการเปรียบเทียบ
เงินบาทกับเงินตราต่างประเทศสกุลใดสกุลหนึ่งเพียงสกุลเดียว ทำให้
ไม่สามารถสะท้อนความได้เปรียบเสียเปรียบด้านอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อ
เทียบกับสกุลเงินของคู่ค้าคู่แข่งรายอื่นๆ ได้ เช่น หากเงินบาทเมื่อเทียบกับ
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 5% แม้โดยผิวเผินอาจมองว่าส่งผลดีต่อผู้ส่งออก
ไทย แต่หากสกุลเงินของคู่แข่งอื่นๆ อ่อนค่าลง 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์
สหรัฐ หมายความว่าผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบด้านอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อ
เทียบกับคู่แข่ง ทำให้แท้จริงแล้วเงินบาทโดยรวมแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ
คู่แข่ง นำไปสู่การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้า
ไทย ดังนั้น เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนสามารถสะท้อนถึงขีดความสามารถ
|
|
|
|
ในการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ จึงไม่สามารถพิจารณาเฉพาะอัตราแลกเปลี่ยนตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องพิจารณา “ดัชนี
ค่าเงิน” ซึ่งถูกคิดขึ้นเพื่อใช้วัดขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะ โดยดัชนีค่าเงินที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปมี 2 แบบ
ได้แก่
• ดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate : NEER) เป็นดัชนีที่คำนวณโดยเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับค่าเงิน
ของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งสำคัญของไทยเกือบทุกสกุล โดยนำมาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามสัดส่วนการค้าของแต่ละประเทศ ซึ่งการเพิ่มขึ้น
ของดัชนีค่าเงินบาท หมายถึงเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่งต่างๆ ของไทย สะท้อนว่าไทยเสียเปรียบ
ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเทียบกับสกุลเงินคู่ค้าและคู่แข่งสำคัญ ในทางกลับกัน หากดัชนีค่าเงินบาทลดลง แสดงว่าเงินบาทอ่อนค่าลงโดย
เปรียบเทียบ สะท้อนว่าไทยได้เปรียบด้านอัตราแลกเปลี่ยนเหนือคู่แข่ง
• ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate : REER) มีการคำนวณคล้ายกับ NEER แต่ต่างกันตรงที่ REER จะปรับด้วยระดับราคาสินค้าหรืออัตราเงินเฟ้อของแต่ละประเทศ เนื่องจากประเทศที่อัตราเงินเฟ้อสูง ย่อมหมายถึงต้นทุนและราคาสินค้าที่
สูงขึ้นกว่าประเทศที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ นำไปสู่การสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันเช่นกัน อาทิ หากเงินบาทอ่อนค่าลง 5% เมื่อเทียบกับ
สกุลเงินคู่แข่ง แต่หากอัตราเงินเฟ้อของไทยซึ่งสะท้อนราคาและต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น 7% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของคู่แข่งไม่
เพิ่มขึ้น คือ อยู่ที่ 0% ทำให้ในภาพรวมสินค้าไทยจะแพงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งราว 2% ดังนั้น REER จึงถือเป็นดัชนีที่สะท้อนถึงขีดความ
สามารถในการแข่งด้านราคาในภาพรวมของผู้ประกอบการไทยที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งมิติด้านอัตราแลกเปลี่ยน ต้นทุนและศักยภาพในการ
ผลิตของผู้ประกอบการไทย
ปัจจุบัน ด้วยภาวะการแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้น ผู้ส่งออกไทยต้องเผชิญกับคู่แข่งจากทุกมุมโลก การพิจารณาอัตราแลกเปลี่ยน
ตัวเงินเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอและไม่สามารถสะท้อนขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ ได้ NEER
และ REER จึงถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยทราบถึงความได้เปรียบเสียเปรียบ และขีดความสามารถในการแข่งขัน
ด้านราคาในภาพรวมเมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนธุรกิจได้ถูกต้องมากขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เป็นหน่วยงานเศรษฐกิจของไทยที่จัดทำ NEER และ REER โดยเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับสกุลเงินของคู่ค้าคู่แข่งสำคัญ 25 สกุล
ซึ่งถือว่าค่อนข้างครบถ้วนโดยผู้สนใจสามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www2.bot.or.th/statistics/BOTWEBSTAT.aspx?reportID=407&language=TH
|
|
|
 |
|
|
|
 |
 |
|
Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ ไม่ว่าโดยทางใด |
|
|
 |
 |
|