พฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีนยุคใหม่
ในวันที่เศรษฐกิจชะลอตัว

 
            จีนเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก
เมื่อประกอบกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจของประเทศ
อย่างต่อเนื่อง สังเกตจากเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวในระดับ 2 หลักตลอด
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการขยายตัวของเมืองจนการบริโภค
สินค้าและบริการของจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก จีนจึงกลายเป็นที่หมายปอง
ของผู้ผลิตสินค้าและนักลงทุนจากทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีน
ที่ชะลอตัวลงในปัจจุบันอาจทำให้หลายฝ่ายเกิดคำถามว่าตลาดจีนยังมี
มนต์ขลังอยู่หรือไม่ และพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวจีนจะเปลี่ยนแปลง
ไปอย่างไร

          ล่าสุด McKinsey บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจและการตลาดชั้นนำ
ของโลกได้เผยแพร่ผลสำรวจพฤติกรรมของชาวจีนที่มีอายุระหว่าง
18-56 ปี จาก 44 เมือง ซึ่งมีสัดส่วน GDP รวมกันราวร้อยละ 75 ของ
GDP รวมของทั้งประเทศ และมีสัดส่วนประชากรรวมกันราวครึ่งหนึ่งของ
ประชากรทั้งประเทศ มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับทัศนคติและพฤติกรรม
ของผู้บริโภคชาวจีนยุคใหม่ ดังนี้

           ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวจีนยังอยู่ในระดับสูง
แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง
ผู้ตอบแบบสอบถามชาวจีนถึงร้อยละ
55 ยังมองว่าครอบครัวของตนเองจะมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีข้างหน้า
(ลดลงจากผลสำรวจในปี 2555 เพียงร้อยละ 2) ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับ
ผลสำรวจของชาวอเมริกันและชาวสหราชอาณาจักรในปี 2554 ที่เชื่อมั่น
ว่าครอบครัวของตนเองจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 32 และร้อยละ 30
ตามลำดับ
          อย่างไรก็ตาม การที่ผู้บริโภคชาวจีนมีความเชื่อมั่นว่าตนเอง
จะมีรายได้เพิ่มขึ้นและยังมีแนวโน้มจะใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นดังกล่าว ไม่ได้
หมายความว่าชาวจีนจะไม่ตระหนักถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่
 
  ชะลอตัวลง ในทางกลับกัน ชาวจีนส่วนใหญ่กลับให้ความสำคัญมากขึ้นกับการใช้เงินให้เหมาะสมกับฐานะ และเห็นว่าควรเก็บออมเงิน
ไว้ให้เพียงพอ ดังสะท้อนจากผลสำรวจที่มีสัดส่วนของผู้ที่เห็นว่าควรใช้เงินให้เหมาะสมกับฐานะโดยไม่กู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ้นจากปี 2555 ทั้งนี้
เหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ชาวจีนรู้สึกว่าการมีเงินออมให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมีชาวจีนถึงร้อยละ 58 ที่มีความกังวลว่าวิถีชีวิต
ที่รีบเร่ง มีความเครียดและความกดดันมากขึ้น อาจทำให้วันหนึ่งตนเองหรือสมาชิกในครอบครัวเกิดเจ็บป่วยขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้ต้องใช้เงิน
จำนวนมาก จึงควรออมเงินไว้แต่เนิ่นๆ
 
  ผู้ที่เห็นว่า “รายได้ของครอบครัวตนเองจะเพิ่มขึ้นใน 5 ปีข้างหน้า” (%)  
  ที่มา : McKinsey 2016 China Consumer Report  
             ชาวจีนหันมาใช้จ่ายกับบริการที่เป็น Lifestyle รวมถึงการซื้อประสบการณ์มากขึ้น แม้ชาวจีนจะยังมีความ
เชื่อมั่นในการใช้จ่าย แต่รูปแบบการซื้อสินค้าและบริการได้เปลี่ยนแปลงไป ชาวจีนไม่ได้ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าเหมือนเช่นที่ผ่านมา
ปัจจุบันผู้บริโภคชาวจีนมีการเลือกมากขึ้นก่อนที่จะซื้อสินค้าและบริการใดๆ และจะเลือกซื้อเฉพาะสินค้าหรือบริการที่เห็นว่าคุ้มค่าหรือให้
ความสำคัญ ซึ่งสินค้าหรือบริการที่ชาวจีนให้ความสำคัญในยุคนี้เปลี่ยนไปจากเดิม ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ที่เคยเป็นเครื่องแสดงสถานะ
ทางสังคมในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ล่าสุดชาวจีนกว่าครึ่งเห็นว่ารถยนต์ไม่ใช่เครื่องแสดงสถานะทางสังคมอีกต่อไป ชาวจีนราวร้อยละ 40 เห็นว่า
ตนเองไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์เพราะมีทางเลือกอื่นในการเดินทาง และหากจำเป็นต้องใช้รถยนต์ก็ยินดีจะใช้รถยนต์เช่าเป็นครั้งคราวไป
 
  ผู้ที่เห็นด้วยกับข้อความต่อไปนี้ (%)  
    “ควรใช้เงินให้เหมาะ
กับฐานะ”
“ควรออมเงิน
ให้ได้ระดับหนึ่ง”
 
  ที่มา : McKinsey 2016 China Consumer Report  
            ทั้งนี้ ปัจจุบันผู้บริโภคชาวจีนมีแนวโน้มหันไปจับจ่ายเงินกับการซื้อบริการที่เกี่ยวข้องกับ Lifestyle หรือการซื้อประสบการณ์
มากยิ่งขึ้นแทนการซื้อสินค้าหรือบริการขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงินกับกิจกรรมในเวลาว่าง กิจกรรมเพื่อความบันเทิง ตลอดจน
การเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ สังเกตจากรายได้รวมของภาพยนตร์ที่ฉายในจีนที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 และจำนวนนักท่องเที่ยวจีน
ที่เดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศสูงถึง 70 ล้านคนในปี 2558 สวนทางกับค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารและเครื่องดื่มไปรับประทาน
ที่บ้านที่มีแนวโน้มลดลง
 
  สินค้าและบริการ 3 หมวดแรกที่ชาวจีนจะเพิ่มการใช้จ่าย
หากมีรายได้สูงขึ้น (%)
 
  ที่มา : McKinsey 2016 China Consumer Report  
             ชาวจีนนิยมเลือกซื้อสินค้าพรีเมียมมากขึ้น สะท้อนจากผลสำรวจที่พบว่าผู้บริโภคราวครึ่งหนึ่งมักเลือกซื้อสินค้าที่ดีที่สุด
และแพงที่สุดเท่าที่ตนเองจะสามารถซื้อได้ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับผลสำรวจในครั้งก่อนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้า
อุปโภคบริโภค
ที่ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่ดีที่สุดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 32 ในปี 2554 เป็นร้อยละ 51 ในปี 2558 และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม
เพิ่มจากร้อยละ 28 เป็นร้อยละ 48
          ทั้งนี้ สำหรับตลาดสินค้าพรีเมียม ส่วนใหญ่สินค้าแบรนด์ที่นำเข้าจากต่างประเทศยังครองส่วนแบ่งตลาดสูงกว่าสินค้าที่ผลิต
ในประเทศ อาทิ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ชุดกีฬา สินค้าแฟชั่น รวมถึงรถหรู ขณะที่สินค้าพรีเมียมแบรนด์ของจีนที่ได้รับความนิยมสูงกว่าสินค้า
นำเข้ามีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น เช่น Smartphone แบรนด์ Huawei ที่ปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด Smartphone ในจีน

           ชาวจีนมีความภักดีต่อแบรนด์สินค้ามากขึ้น นอกเหนือจากความนิยมสินค้าพรีเมียมที่เพิ่มขึ้นแล้ว ในระยะหลังชาวจีน
ยังมีความภักดีต่อแบรนด์สินค้ามากขึ้น กล่าวคือ ผู้บริโภคมีแบรนด์สินค้าที่ตนเองจะเลือกซื้ออยู่ไม่กี่แบรนด์ (ผู้บริโภคบางส่วนมีเพียง
แบรนด์เดียว) และจะไม่ทดลองใช้หรือซื้อสินค้าแบรนด์อื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากนี้ พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นกับสินค้าหลายหมวด ไม่ว่าจะเป็น
ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ที่มีผู้บริโภคถึงร้อยละ 83 ที่ระบุว่าจะเลือกซื้อเฉพาะแบรนด์ที่อยู่ในใจของตนเองเท่านั้น อาหารและ
เครื่องดื่ม เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม
ตลอดจนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ การที่ผู้บริโภคมีความภักดีกับสินค้าเพียงไม่กี่แบรนด์เช่นนี้ ถือเป็น
ความท้าทายสำหรับสินค้าแบรนด์ใหม่ๆ ที่ต้องการเข้าสู่ตลาด เนื่องจากการทำโปรโมชั่นเพื่อให้ผู้บริโภคหันมาทดลองใช้สินค้าแบรนด์ใหม่ๆ
ได้ผลน้อยลง เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ยอมเปิดใจทดลองสินค้าแบรนด์ใหม่ๆ

           ผู้บริโภคชาวจีนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้นในทุกมิติ ชาวจีนเริ่มตระหนักว่ารายได้และความเป็นอยู่
ที่ดีขึ้นของตนอาจต้องแลกมาด้วยความสุขหรือชีวิตส่วนตัวที่สูญเสียไป สังเกตจากที่มีชาวจีนถึงร้อยละ 42 ที่เห็นว่าตนเองมีความสุข
กับชีวิตได้ยากขึ้น และร้อยละ 45 ที่คาดว่าตนเองจะต้องเผชิญความกดดันที่สูงขึ้นในอนาคต จึงมีชาวจีนจำนวนมากขึ้นที่พยายามรักษา
สมดุลในชีวิตและพยายามดูแลสุขภาพของตนเองในด้านต่างๆ อาทิ
             - การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ สะท้อนจากความนิยมดื่มน้ำอัดลมที่ลดลงอย่างมาก จาก
ร้อยละ 84 ในปี 2555 เหลือร้อยละ 63 ในปี 2558 สวนทางกับน้ำผลไม้ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็มีชาวจีนจำนวนไม่น้อย
ที่เลือกซื้ออาหารอินทรีย์ เพราะเชื่อว่าเป็นอาหารที่ปลอดภัย ซึ่งแม้ปัจจุบันจีนจะยังไม่มีระบบรับรองมาตรฐานอาหารอินทรีย์อย่างเป็น
ทางการ แต่ก็มีเอกชนหลายรายที่พยายามพัฒนามาตรฐานสินค้าของตนเอง เพื่อเจาะตลาดผู้บริโภคกลุ่มนี้ อาทิ Ole ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต
แห่งแรกที่เน้นจำหน่ายสินค้าอินทรีย์และสินค้านำเข้า
 
  สัดส่วนผู้บริโภคที่เลือกบริโภค
อาหารแต่ละชนิดในปี 2558 (%)
 
  ที่มา : McKinsey 2016 China Consumer Report  
               - ชาวจีนนิยมออกกำลังกายและเล่นกีฬามากขึ้น เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง ปัจจุบันมีชาวจีนที่อยู่อาศัยในเมืองถึงร้อยละ 73
ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา (ใกล้เคียงกับสหรัฐฯ ที่ประชากรร้อยละ 70 ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา) และสัดส่วนดังกล่าวยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
จึงส่งผลดีต่อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายและการเล่นกีฬา อาทิ ชุดกีฬา รองเท้า ตลอดจนอุปกรณ์ออกกำลังกายและอุปกรณ์กีฬา
             - การดูแลสุขภาพในเชิงป้องกัน การที่ชาวจีนเป็นกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดการเจ็บป่วยในอนาคต ทั้งของตนเองและ
คนรอบข้าง ทำให้สินค้าและบริการที่เกี่ยวกับการป้องกันหรือดูแลสุขภาพเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน อาทิ การทำประกันสุขภาพ การ
ตรวจสุขภาพประจำปี รวมถึงอุปกรณ์สวมใส่ได้ (Wearables) และแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องกับ Lifestyle เช่น อุปกรณ์หรือแอพพลิเคชั่น
ที่นับจำนวนก้าวที่เดิน วัดระยะเวลาและคุณภาพการนอนหลับ วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ตรวจสอบจำนวนแคลอรีที่ร่างกายเผาผลาญ
เป็นต้น

           ชาวจีนหันมาใส่ใจครอบครัวเพิ่มขึ้น แม้ชาวจีนในปัจจุบันยังคงต้องการความร่ำรวยและต้องการมีสถานะทางสังคม แต่
ในระยะหลังมุมมองต่อความสำเร็จในชีวิตของชาวจีนให้ความสำคัญกับชีวิตครอบครัวมากขึ้น โดยผู้ที่เห็นว่า “การประสบความสำเร็จคือ
การมีครอบครัวที่อบอุ่น” มีสูงถึงร้อยละ 75 ในปี 2558 สำหรับกิจกรรมกับครอบครัวที่เป็นที่นิยมของชาวจีนคือการไปชอปปิงด้วยกัน
ซึ่งปัจจุบันศูนย์การค้าที่มีบริการครบทั้งสินค้าในแผนกต่างๆ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และกิจกรรมบันเทิง ได้รับความนิยมเหนือห้าง
ค้าปลีกขนาดใหญ่ที่เน้นจำหน่ายสินค้าเพียงอย่างเดียว เพราะผู้บริโภคสามารถใช้เวลาร่วมกับครอบครัวได้อย่างครบวงจร นอกจากนี้
การเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศกับครอบครัวก็เป็นอีกกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน
 
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ ไม่ว่าโดยทางใด