เมียนมา หลังออกจากสถานะประเทศที่ FATF เฝ้าระวังด้านการฟอกเงิน  
            เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2559 คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อ
ดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (Financial
Action Task Force on Money Laundering : FATF) ประกาศ
ถอดเมียนมาออกจากบัญชีรายชื่อประเทศที่มีความบกพร่องเชิง
ยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการ
ต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (Anti-Money
Laundering/Counter Financing of Terrorism : AML/CFT)
เนื่องจากเมียนมามีพัฒนาการในการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ
มากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุน
ทางการเงินแก่การก่อการร้าย
หลังจากในช่วงที่ผ่านมา เมียนมาปฏิบัติ
ตามนโยบายและขั้นตอนการดำเนินงานของ FATF อย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเมียนมายังไม่หลุดออกจากบัญชีรายชื่อประเทศที่มี
ความเสี่ยงสูงในการฟอกเงินของ FATF อย่างเต็มรูปแบบ จนกว่าเมียนมา
จะดำเนินการปราบปรามการฟอกเงินได้อย่างสมบูรณ์ตามกรอบเวลาที่
FATF กำหนด แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่สะท้อนให้เห็นว่าเมียนมาเป็นที่
ยอมรับของนานาชาติมากขึ้น อันจะช่วยสนับสนุนให้นักลงทุนมี
ความมั่นใจในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในเมียนมามากขึ้น ตลอดจน
ช่วยลดอุปสรรคและขั้นตอนการทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคาร
ในเมียนมา

          เมียนมามีรายชื่ออยู่ในบัญชีที่มีความบกพร่องเชิงยุทธศาสตร์ด้าน
AML/CFT ตั้งแต่ปี 2553 เนื่องจากชาวเมียนมาส่วนใหญ่นิยมซื้อสินค้าด้วย
เงินสดเป็นหลัก แม้กระทั่งการซื้อสินค้าที่มีราคาสูงก็ตาม ส่งผลให้การ
ติดตามและตรวจสอบเส้นทางการเงินในเมียนมาเป็นไปอย่างยากลำบาก
อีกทั้งภาคธนาคารของเมียนมายังขาดระบบการตรวจสอบธุรกรรมทางการ
  เงินและมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากการฟอกเงิน ซึ่งรัฐบาลเมียนมาตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และใช้ความ
พยายามในการปิดช่องทางการฟอกเงินในประเทศมาโดยตลอด สะท้อนได้จากการออกกฎหมายและข้อบังคับหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับ
การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อาทิ Anti-Money Laundering Law 2014, Directive for the Customer Due Diligence
Measures 2015 และ Anti-Money Laundering Guidelines 2015 เป็นต้น ซึ่ง FATF ได้ทำการประเมินขั้นตอนการดำเนินงานต่างๆ ของ
เมียนมาตามกรอบเวลาที่กำหนด ก่อนที่จะพิจารณาถอดเมียนมาออกจากบัญชีดังกล่าวในที่สุด ทั้งนี้ FATF แบ่งกลุ่มประเทศที่มีความ
บกพร่องเชิงยุทธศาสตร์ด้าน AML/CFT เป็น 3 ระดับ ดังนี้
 
  ข้อปฏิบัติของธนาคาร/สถาบันการเงินในเมียนมา  
            เมียนมาได้ออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการฟอกเงินหลายฉบับ เพื่อสร้างมาตรฐานการตรวจสอบเส้นทางการเงิน
ในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว คือ การจัดทำ Directive for the Customer Due
Diligence Measures 2015 ของธนาคารกลางเมียนมา ซึ่งกำหนดให้ธนาคาร/สถาบันการเงิน (FIs) ในประเทศ มีหน้าที่ตรวจสอบและ
รายงานธุรกรรมทางการเงินที่ผิดปกติหรือต้องสงสัยว่าเป็นการฟอกเงินต่อ Financial Intelligence Unit (FIU) ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลและ
ควบคุมให้ FIs ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างเคร่งครัด โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้

          1) ข้อปฏิบัติระหว่างธนาคารกลางเมียนมา-ธนาคาร/สถาบันการเงิน
 
 
กฎระเบียบและมาตรการป้องกันการฟอกเงินต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มีผลบังคับใช้กับสาขาของ
ธนาคารทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งธนาคารในเครือทุกแห่ง

FIs ต้องทบทวนขั้นตอนการดำเนินงานและมาตรการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินเป็นประจำ
และปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ
FIs ต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบ และขั้นตอนการปฏิบัติงานให้แก่ธนาคารกลาง
เมียนมาตามกำหนด
 
            2) ข้อปฏิบัติระหว่างธนาคาร-ธนาคาร  
 
ตรวจสอบข้อมูล/ประวัติของธนาคาร และขอเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนก่อนที่จะเปิดความ
สัมพันธ์ในลักษณะธนาคารตัวแทน (Correspondent Bank) และประเมินความเสี่ยงด้านการ
ฟอกเงินของธนาคารนั้นๆ ตามกฎระเบียบและขั้นตอนที่กำหนด
การเปิดความสัมพันธ์กับธนาคารใดๆ ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร
เท่านั้น
ห้ามแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์กับธนาคารที่ไม่มีตัวตน (Shell Banks) หรือไม่มีใบอนุญาตดำเนิน
กิจการธนาคาร (Banking License)
ห้ามเปิดบัญชีและทำธุรกรรมใดๆ กับ Shell Banks
 
            3) ข้อปฏิบัติระหว่างธนาคาร-ลูกค้า  
 
ตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวและประวัติเจ้าของบัญชี และแหล่งที่มาของรายได้เจ้าของบัญชี หรือ
ลักษณะของธุรกิจและขนาดสินทรัพย์ (กรณีเป็นบริษัท) อย่างละเอียด
ห้ามเปิด/รักษาบัญชีที่ไม่สามารถระบุตัวตนเจ้าของบัญชี
จับตาธุรกรรมทางการเงินที่ผิดปกติและมีมูลค่าสูง ตลอดจนประเมินความเสี่ยงลูกค้าเป็นประจำ
(หากพบธุรกรรมผิดปกติ ต้องทำการปิดบัญชีและรายงานต่อ FIU ทันที)
 
            ทั้งนี้ ธนาคาร/สถาบันการเงินในเมียนมามีหน้าที่ต้องรายงานต่อ FIU เมื่อตรวจพบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติภายใน 24 ชั่วโมง
สำหรับพื้นที่เขตเมือง และไม่เกิน 3 วันทำการสำหรับพื้นที่นอกเขตเมือง
นอกจากนี้ ธนาคาร/สถาบันการเงินแต่ละแห่งต้องตรวจสอบ
ข้อมูลเงินเข้า-ออก และรายงานธุรกรรมการโอนเงินที่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีรายละเอียด ดังนี้
 
            นับจากนี้ การทำธุรกรรมกับธนาคารในเมียนมาจะมีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากการทำธุรกรรมกับประเทศ
ที่มีความบกพร่องเชิงยุทธศาสตร์ด้าน AML/CFT อย่างเมียนมาในช่วงที่ผ่านมา มักถูกตรวจสอบอย่างละเอียดและขอเอกสารเฉพาะเป็น
กรณีพิเศษ ซึ่งทำให้ใช้เวลาค่อนข้างมากในการทำธุรกรรมแต่ละรายการ ดังนั้น การออกจากบัญชีรายชื่อประเทศที่มีความบกพร่อง
เชิงยุทธศาสตร์ฯ ของเมียนมาในครั้งนี้ นับเป็นก้าวย่างสำคัญไปสู่การออกจากบัญชีรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในการ
ฟอกเงินของ FATF อย่างเต็มรูปแบบในระยะถัดไป
สอดคล้องกับการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันโลก (Corruption Perceptions Index) ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ซึ่งจัดอันดับเมียนมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันเมียนมาอยู่อันดับที่ 147 (เทียบกับไทยอันดับที่ 76 จากทั้งหมด 168 ประเทศ) จากเดิมเมื่อปี 2553 อยู่อันดับที่ 176 (จาก
ทั้งหมด 178 ประเทศ) สะท้อนให้เห็นว่าภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของเมียนมาในเวทีโลกกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะมี
ส่วนช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ
 
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ ไม่ว่าโดยทางใด