กระแส E-Commerce ของจีน กับโอกาสของผู้ประกอบการไทย  
 

          กระแส E-Commerce ในจีนขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
โดย Mckinsey รายงานว่า มูลค่าค้าปลีกผ่าน E-Commerce ของจีนสูงถึงราว 6.3
แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 และคาดว่ามูลค่าดังกล่าวจะยังขยายตัวต่อเนื่อง
อีกราว 30% ในปี 2559 กระแสดังกล่าวนับว่ามีส่วนสำคัญในการจุดประกายให้
แจ็คหม่า เจ้าของอาณาจักรธุรกิจ Alibaba กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
ของโลก สอดคล้องกับ Forbes ที่จัดให้ Alibaba เป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่เป็นอันดับ 6
ของโลก โดยมี Walmart, CVS และ Amazon เป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่อันดับ 1-3
ของโลกตามลำดับ ทั้งนี้ กระแส E-Commerce ของจีนดังกล่าว ประกอบกับ
การค้าระหว่างประเทศผ่าน E-Commerce หรือ Cross-Border E-Commerce
ถือเป็นตลาดที่ผู้ผลิตสินค้าทั่วโลกต่างให้ความสนใจ โดยเฉพาะในตลาดจีนที่มีการ
นำเข้าผ่าน E-Commerce เป็นมูลค่าราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2558
แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการเจาะตลาดจีนผ่านช่องทางดังกล่าว จึงเป็นที่น่าสนใจ
ว่าทำไม E-Commerce ในจีนถึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว และผู้ส่งออกไทยควรมี
กลยุทธ์อย่างไรในการเจาะตลาดดังกล่าว

          ปัจจัยผลักดันกระแส E-Commerce ในจีน
          การขยายตัวของ E-Commerce Platform ในจีน
          เมื่อพูดถึง E-Commerce Platform ของจีนแล้ว คนทั่วไปอาจนึกถึงเพียง
Alibaba แต่ที่จริงแล้วจีนยังมี E-Commerce Platform จำนวนมากที่ให้บริการ
อาทิ JD, Suning, Meituan และ Dianping หรือแม้แต่ Alibaba เอง ยังมี Platform
แยกย่อยออกไป ได้แก่
          1. Alibaba เป็น Platform แบบ B2B
          2. Taobao เป็นแบบ C2C
          3. Tmall เป็นแบบ B2C
          ซึ่งการเกิดขึ้นจำนวนมากของ E-Commerce Platform ดังกล่าว สร้าง
ทางเลือกให้กับผู้บริโภคชาวจีนในการเลือกหาสินค้าที่ตนต้องการ โดยเฉพาะชาวจีน
ในเมืองรองต่างๆ ที่สามารถเลือกซื้อสินค้าได้หลากหลายมากกว่าที่หาซื้อได้
ในร้านค้าปลีกทั่วไปในเมืองของตน

 
  731 ล้านราย
จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของจีนในปี 2559
95.1%
สัดส่วนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ
 
  ประเภทของ E-Commerce
 
  B2B (Business to Business) เป็น Platform ที่ให้ผู้ประกอบการที่ผลิตหรือจำหน่ายสินค้ามาเจอกับผู้ประกอบการ
ที่ต้องการสินค้า การจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางนี้มักเป็นการซื้อขายสินค้าจำนวนมาก ทั้งนี้ Alibaba เป็นตัวอย่างของ
E-Commerce ประเภทนี้
 
  C2C (Customer to Customer) เป็น Platform ที่เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปที่สนใจขายสินค้าและซื้อสินค้ามาเจอกัน
ตัวอย่างที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ Ebay ขณะที่ตัวอย่างของจีน คือ Taobao ทั้งนี้ ช่องทาง E-Commerce ประเภทนี้ จะมี
ระบบการชำระเงินอยู่ด้วย เพื่อความสะดวกของผู้บริโภค อาทิ Ebay ใช้ระบบ Paypal ส่วน Taobao ใช้ระบบ Alipay
 
  B2C (Business to Customer) เป็น Platform ที่ให้ร้านค้าหรือเจ้าของสินค้าที่มีแบรนด์สินค้าเป็นที่รู้จักมาวางจำหน่าย
สินค้าออนไลน์ ขณะที่ผู้ที่เข้ามาเลือกซื้อเป็นผู้บริโภคทั่วไป ทั้งนี้ Amazon เป็นตัวอย่างที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ขณะที่ Tmall
และ JD ถือเป็น Platform หลักในตลาดจีน ซึ่ง Platform ประเภทนี้จะมาพร้อมกับช่องทางการชำระเงิน ไม่ว่าจะเป็นชำระด้วย
บัตรเครดิต หรือผ่านระบบอย่าง Paypal หรือ Alipay
 
 

          การเกิดขึ้นของ Fintech ในจีน เอื้อให้การค้าออนไลน์สะดวกยิ่งขึ้น
          WeChat เป็นแอพพลิเคชั่นสำคัญบนโทรศัพท์มือถือของจีน ที่ทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการแชทคุยกัน การตรวจสอบ
สภาพอากาศ การเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ หรือแม้กระทั่งการแจ้งข้อร้องเรียนต่อตำรวจ และที่สำคัญที่สุด คือ การโอนเงินและตัดเงินจาก
บัญชีธนาคารเพื่อชำระค่าสินค้าหรือโอนเงินระหว่างบุคคล โดยการผูกบัญชี WeChat ไว้กับบัญชีธนาคาร และเมื่อมีการโอนเงินหรือชำระ
ค่าสินค้าผ่านทาง WeChat ระบบจะตัดเงินจากบัญชีธนาคารที่ผูกไว้ บริการดังกล่าวตอบโจทย์ชาวจีนจำนวนมากที่ไม่ได้มีสถานะการรับรอง
ทางอาชีพหรือทางการเงินเพียงพอที่จะเปิดบัญชีบัตรเครดิต ชาวจีนส่วนใหญ่จึงนิยมใช้แอพพลิเคชั่นนี้ เพียงแค่พกโทรศัพท์มือถือก็สามารถ
จ่ายค่าสินค้าและบริการจากร้านค้าปกติที่มีเครื่องแสกน QR Code อีกทั้งยังสามารถสั่งซื้อสินค้าและบริการออนไลน์โดยจ่ายเงินผ่าน
WeChat ได้เช่นกัน นอกจาก WeChat แล้ว Alipay ของ Alibaba เป็นอีกหนึ่ง Fintech ที่มีบทบาทมากต่อการค้า โดยเฉพาะแบบ Cross-
Border E-Commerce โดย Alipay เป็นเสมือนตัวกลางระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายทำงานคล้ายกับระบบ Paypal ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี แต่เป็น
ระบบที่พัฒนาโดย Alibaba ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าความสะดวกสบายดังกล่าวทำให้จีนกำลังก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด และมีบทบาทอย่างมาก
ในการผลักดันการค้าแบบ E-Commerce ของจีน ให้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

          รัฐบาลจีนมีนโยบายสนับสนุน Cross-Border E-Commerce อย่างจริงจัง
          ตั้งแต่ปี 2558 รัฐบาลจีนได้เริ่มกำหนดเมืองนำร่องเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการค้าแบบ Cross-Border E-Commerce จนถึง
ปัจจุบันมีเมืองนำร่องทั้งหมด 13 เมือง ได้แก่ Hangzhou, Tianjin, Shanghai, Chongqing, Hefei, Zhengzhou, Guangzhou, Chengdu,
Dalian, Ningbo, Qingdao, Shenzhen และ Suzhou สิทธิประโยชน์สำคัญที่ได้จากการค้าแบบ Cross-Border E-Commerce ในเมือง
นำร่องดังกล่าว อาทิ การเรียกเก็บภาษีนำเข้าบางรายการในอัตราต่ำกว่าการนำเข้าแบบปกติ ทำให้สินค้าที่ซื้อผ่าน E-Commerce มีราคา
ถูกกว่าสินค้านำเข้าที่วางจำหน่ายในร้านค้าปลีกทั่วไป จึงทำให้การซื้อของนำเข้าผ่าน E-Commerce ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก
ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้ามาเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse) ที่ตั้งอยู่ในเมืองนำร่องดังกล่าว ไม่ต้อง
ดำเนินพิธีการทางศุลกากรจนกว่าจะได้รับคำสั่งซื้อและส่งสินค้าออกจากคลังสินค้า ช่วยให้การบริการระบบโลจิสติกส์ทำได้อย่างรวดเร็ว
และมีประสิทธิภาพ

          ผู้บริโภคชาวจีนเชื่อถือคุณภาพสินค้านำเข้าที่ซื้อผ่านช่องทาง E-Commerce
          ปัจจุบันสินค้าลอกเลียนแบบและสินค้าไม่ได้มาตรฐานยังคงเป็นปัญหาหลักที่ผู้บริโภคชาวจีนเผชิญอยู่เสมอในการซื้อสินค้าจาก
ช่องทางค้าปลีกทั่วไปภายในประเทศ การเลือกซื้อสินค้านำเข้าผ่านช่องทาง E-Commerce จึงเป็นที่นิยม เนื่องจากเป็นการนำเข้าโดยตรง
จากต่างประเทศ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องสินค้าลอกเลียนแบบ อีกทั้งยังเป็นสินค้าที่ผ่านมาตรฐานการผลิตของต่างประเทศ นอกจากนี้ กระแส
ความนิยมท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การนำเข้าสินค้าผ่านช่องทาง E-Commerce ขยายตัว เนื่องจาก
นักท่องเที่ยวชาวจีนติดใจสินค้าของประเทศที่ตนไปท่องเที่ยว เมื่อกลับมาก็จะใช้ E-Commerce เป็นช่องทางสั่งซื้อสินค้ามาใช้ซ้ำอีก

          โอกาสของผู้ประกอบการไทย
          จะเห็นได้ว่ากระแส E-Commerce สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยรุกเข้าเจาะตลาดชาวจีน โดยปัจจุบันมีสินค้าของไทย
หลายแบรนด์ที่จำหน่ายในช่องทางดังกล่าวแล้ว อาทิ Snail White, Mistine, ข้าวตราฉัตร และดอกบัวคู่ จากความสำเร็จของแบรนด์ไทย
ดังกล่าว มีข้อสังเกตที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มโอกาสในการรุกตลาดจีน ดังนี้
          แบรนด์สินค้าต้องเป็นที่รู้จักอยู่แล้วจึงจะง่ายต่อการบุกตลาดจีน ตลาดจีนเป็นที่หมายตาของผู้ผลิตสินค้าทั่วโลก การแข่งขัน
ในสินค้าแต่ละแบรนด์จึงมีค่อนข้างสูง หากแบรนด์สินค้าของเราเป็นที่รู้จักอยู่แล้วในหมู่ชาวจีน อาจจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยว
ประเทศไทย สินค้าของเราก็ถือว่าได้เปรียบในการรุกเข้าไปในช่องทาง E-Commerce สำคัญของจีน อาทิ Tmall เนื่องจากจะมีโอกาส
ประสบความสำเร็จจากความต้องการใช้สินค้าซ้ำ
          หากแบรนด์สินค้ายังไม่เป็นที่รู้จัก ต้องเริ่มทำการตลาดให้เป็นที่รู้จักเสียก่อน โดยปัจจุบันสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)
ถือเป็น Touch Point สำคัญในการทำการตลาดของผู้บริโภคชาวจีน โดยชาวจีนส่วนใหญ่จะหาข้อมูลประสบการณ์การใช้สินค้าจาก
อินเทอร์เน็ตก่อนเลือกซื้อสินค้า ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยอาจต้องหาชาวจีนที่มีชื่อเสียงในการทดลองใช้สินค้ามาใช้สินค้าและแบ่งปัน
ประสบการณ์บนโลกออนไลน์ เพื่อให้สินค้าของเราเป็นที่รู้จักก่อนที่จะเริ่มบุกตลาด Cross-Border E-Commerce ของจีน ทั้งนี้
อีกทางเลือกหนึ่งของการทำตลาด คือ การทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเที่ยวประเทศไทย โดยอาจนำสินค้า
ไปวางตามจุดให้บริการนักท่องเที่ยวเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า

 
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ ไม่ว่าโดยทางใด