 |
 |
|
ไมโครไฟแนนซ์...กลไกสำคัญของภาคธนาคารในการยกระดับเศรษฐกิจกัมพูชา |
|
|
 |
 |
|
 |
กัมพูชาเป็นอีกหนึ่งประเทศในอาเซียนที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจ
อย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สะท้อนได้จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวเฉลี่ย
6.6% ต่อปีในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) คาดว่า
เศรษฐกิจกัมพูชาในปี 2560 จะขยายตัวสูงถึง 7.1% เทียบกับเศรษฐกิจ
อาเซียนโดยรวมที่ขยายตัว 4.8% เศรษฐกิจกัมพูชาที่ขยายตัวอย่างโดดเด่น
ดังกล่าวส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนสำคัญจากการมีภาคธนาคารที่เติบโตอย่าง
แข็งแกร่งและเปิดกว้าง ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินนโยบายตามแผนพัฒนา
ภาคการเงิน (Financial Sector Blueprint) ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งธนาคาร
กลางกัมพูชาเริ่มใช้แผนฯ ดังกล่าวเมื่อปี 2544 มีเป้าหมายในการสร้าง
เสถียรภาพให้แก่ภาคธนาคารเพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจ ล่าสุดธนาคารกลางกัมพูชาประกาศใช้แผนพัฒนาภาคการเงิน
ระยะ 10 ปี (Financial Sector Development Strategy 2016-2025)
เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินนโยบายของภาคธนาคารให้มีความชัดเจน
มากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน
ให้มากขึ้นและให้เข้าถึงประชาชนทุกระดับ ทั้งนี้ กุญแจสำคัญประการหนึ่ง
ที่รัฐบาลกัมพูชาเล็งเห็นว่าจะทำให้ภาคธนาคารของกัมพูชาบรรลุเป้า
ดังกล่าว คือ การพัฒนาไมโครไฟแนนซ์ (Microfinance) ให้แข็งแกร่งเพื่อ
เป็นเครื่องมือในการให้สินเชื่อแก่ชาวกัมพูชาโดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย
ไมโครไฟแนนซ์ในกัมพูชาได้เริ่มต้นขึ้นจากการเข้ามามีบทบาท
สำคัญต่อการให้สินเชื่อแก่ประชาชนในพื้นที่ชนบทซึ่งการให้บริการทาง
การเงินของธนาคารพาณิชย์ยังเข้าไม่ถึง ทำให้ประชาชนในพื้นที่ชนบท
เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเริ่มต้นดำเนินธุรกิจหรือขยายธุรกิจได้ง่ายขึ้น
สอดคล้องกับอันดับด้านการได้รับสินเชื่อ (Getting Credit) ในรายงาน |
|
|
|
Ease of Doing Business 2017 ของธนาคารโลก กัมพูชาอยู่อันดับ 7 จากการจัดอันดับทั้งหมด 190 ประเทศ ขณะที่รายงานของกองทุน
พัฒนาเงินทุนแห่งสหประชาชาติ (UNCDF) ระบุว่าอัตราการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion Rate) ของกัมพูชาอยู่ที่ 59%
สูงกว่าของ สปป.ลาว และเมียนมาที่ 47% และ 30% ตามลำดับ ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ส่วนใหญ่ในกัมพูชาอยู่ในภาค
เกษตรกรรม ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของชาวกัมพูชา มีสัดส่วนกว่า 30% รองลงมา ได้แก่ ภาคครัวเรือน 28% และภาคการค้า 18% ทั้งนี้
การให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคธนาคารมาอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลกัมพูชาทำให้ไมโครไฟแนนซ์มีศักยภาพและเสถียรภาพที่แข็งแกร่ง
จนกล่าวได้ว่าปัจจุบันไมโครไฟแนนซ์ในกัมพูชามีการพัฒนาเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทั้งนี้ ข้อมูลของธนาคารกลางกัมพูชาระบุว่า อัตราส่วน
สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity Ratio) ของไมโครไฟแนนซ์ในปี 2559 สูงถึง 185.7% ขณะที่ยอด NPLs แม้ว่าเพิ่มขึ้นจาก 0.8% ในปี
2558 เป็น 1.4% ในปี 2559 แต่ยังต่ำกว่า NPLs ของธนาคารพาณิชย์ที่ 2.4% เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัจจุบันไมโครไฟแนนซ์ในกัมพูชาเพิ่ม
จำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วและเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเข้าถึงบริการทางการเงินของชาวกัมพูชา จนมีส่วนทำให้คุณภาพชีวิตของชาว
กัมพูชาดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากประชาชนมีโอกาสในการเป็นเจ้าของกิจการและมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งกัมพูชาถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบ
ความสำเร็จในการลดปัญหาความยากจน สะท้อนได้จากอัตราความยากจน (Poverty Rate) ที่ลดลงจาก 43.2% ในปี 2547 เหลือ 14.7%
ในปี 2557
แม้ว่ารัฐบาลกัมพูชามีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินให้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มิได้ละเลยต่อการสร้าง
เสถียรภาพให้กับภาคธนาคาร โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดการเงินโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยในช่วงที่ผ่านมาธนาคาร
กลางกัมพูชามีการกำกับดูแลสถาบันการเงินให้เป็นสากลมากขึ้นและเข้มงวดขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงให้เพิ่มการดำรงเงินกองทุน
ขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์และไมโครไฟแนนซ์ตามหลักเกณฑ์ Basel III ซึ่งเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสถาบันการเงินในการรับมือกับ
ความผันผวนต่างๆ นับเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่รัฐบาลกัมพูชาสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติในการใช้ประโยชน์จากภาคการเงิน
การธนาคารเพื่อให้การดำเนินธุรกิจในกัมพูชาเป็นไปอย่างมั่นคง |
|
|
 |
 |
 |
|
Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น
โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ ไม่ว่าโดยทางใด |
|
|
 |
 |
|