ท่ามกลางวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ โลกก็ต้องเผชิญความเสี่ยงจากความ
ขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)
ที่เร่งตัวขึ้นควบคู่กันไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจโลกอย่างมาก
โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลกเป็นหนึ่งในตัวแปรที่อาจส่งผลทั้งทางตรงและ
ทางอ้อมในการขัดขวางของการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของโลก และทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำต้อง
เผชิญกับอุปสรรคที่ซับซ้อนและท้าทายมากยิ่งขึ้น ซึ่งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขัดขวางการเปลี่ยนผ่าน
สู่สังคมคาร์บอนต่ำของโลกได้ในหลายมิติ ดังนี้
 
  ผลกระทบโดยตรงจากสงคราม  
  ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศยกระดับเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ซึ่งข้อมูลจาก Center for Environmental Initiatives Ecoaction ระบุว่า กรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 175 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ซึ่งมีปริมาณใกล้เคียงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายปีของประเทศเนเธอร์แลนด์ (เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 17 ของโลก และอันดับ 7 ของยุโรป) หรือแม้กระทั่งสงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ซึ่งผลการศึกษาจาก Queen Mary University of London ระบุว่า ในช่วง 120 วันแรกของสงคราม (ตุลาคม 2566-กุมภาพันธ์ 2567) มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 4.20-6.52 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจ แต่ยังส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกอีกด้วย   
  การค้าระหว่างประเทศ  
  สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นหนึ่งในความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่นอกจากจะกระทบต่อระบบการค้าการลงทุนของโลกแล้ว ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดของโลกอีกด้วย จากประเด็นการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น แผงโซลาร์และส่วนประกอบ ซึ่งสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 25-30% ตั้งแต่ปี 2561 การเก็บภาษีดังกล่าวทำให้ต้นทุนการผลิตและราคาของพลังงานสะอาดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นและกระทบต่อความต้องการใช้พลังงานสะอาดในประเทศ โดยจากงานวิจัยของ S. Houde และ W. Wang ในปี 2565 พบว่า การกำหนดภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์สหรัฐจะทำให้ราคารวมทั้งหมดของระบบโซลาร์หลังติดตั้งในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1.34 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เมื่อเดือนกันยายน 2567 สหรัฐฯ ได้เก็บภาษีนำเข้าแผงโซลาร์และส่วนประกอบจากจีนเพิ่มขึ้นเป็น 50% อีกทั้งยังเพิ่มภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจาก 27.5% เป็น 102.5% และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพิ่มขึ้นจาก 7.5% เป็น 25% การขึ้นภาษีดังกล่าวไม่เพียงส่งผลกระทบต่อต้นทุนและราคาของพลังงานสะอาด แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจากนโยบายที่เน้นการปกป้องตลาดในประเทศ  
  การขนส่งระหว่างประเทศ  
  สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางเดินเรือและเส้นทางการบินซึ่งเปรียบเสมือน
เส้นเลือดใหญ่ของการค้าและการเดินทางระหว่างประเทศ ทำให้มีการใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นในการเปลี่ยนเส้นทางขนส่ง โดยเฉพาะความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ส่งผลกระทบต่อการเดินเรือในทะเลแดง ทำให้เรือขนส่งสินค้าส่วนหนึ่ง
ที่เดินทางจากเอเชียไปยุโรปต้องเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอ้อมทวีปแอฟริกาผ่านแหลมกู๊ดโฮปแทนการผ่านคลองสุเอซ
เพื่อความปลอดภัย ซึ่งมีระยะทางไกลขึ้นกว่า 6,000 กิโลเมตร และใช้เวลาในการเดินเรือเพิ่มขึ้น 7-10 วัน ซึ่งการเดินเรือ
ที่นานขึ้นนอกจากทำให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นจากการใช้
เชื้อเพลิงที่มากขึ้นอีกด้วย ขณะที่ข้อมูลจาก Time Magazine เมื่อเดือนมกราคม 2567 ระบุว่า การเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือ
เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในตะวันออกกลางส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นวันละ 162,727 ตัน
ส่วนสงครามรัสเซีย-ยูเครนก็ส่งผลกระทบต่อเส้นทางการบิน เนื่องจากมีการปิดน่านฟ้าเหนือรัสเซียและยูเครน ซึ่งบังคับให้เที่ยวบินระหว่างเอเชียและยุโรปต้องบินอ้อมเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง ส่งผลให้ระยะเวลาบินเพิ่มขึ้นราว 1-4 ชั่วโมง
ต่อเที่ยวบิน ทำให้ต้องใช้เชื้อเพลิงอากาศยานเพิ่มขึ้นเช่นกัน
 
  การลงทุนพลังงานสะอาด  
  สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลกส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น โครงการ Trans-Caspian Electricity Project ซึ่งเป็นโครงการสายส่งไฟฟ้าใต้ทะเลจากประเทศในเอเชียกลางผ่านทะเลแคสเปียนไปยังประเทศในยุโรป โดยมีเป้าหมายสนับสนุนการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคด้วยความร่วมมือจากหลายประเทศ อาทิ เติร์กเมนิสถาน อาเซอร์ไบจาน และประเทศในยุโรป อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ต้องเผชิญความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศชายฝั่งทะเลแคสเปียน และปัญหาสิทธิ์ในการเข้าถึงพื้นที่ก่อสร้างโครงการ ซึ่งส่งผลให้การพัฒนาโครงการต้องชะลอออกไป นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Desertec ซึ่งเป็นแผนก่อสร้างโครงข่ายพลังงานแสงอาทิตย์และพลังลมในทะเลทรายซาฮารา มูลค่าลงทุนสูงถึง 4 แสนล้านยูโร เพื่อส่งไฟฟ้าไปยังประเทศในแอฟริกาเหนือและยุโรป อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ต้องเผชิญปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองของบางประเทศในแอฟริกาเหนือ และความขัดแย้งระหว่างบางประเทศในภูมิภาค เช่น โมร็อกโกและแอลจีเรีย รวมถึงปัญหาด้านเม็ดเงินลงทุนและการสนับสนุนจากรัฐบาลในยุโรป ทำให้การพัฒนาโครงการต้องชะลอออกไป  
               จะเห็นได้ว่า โลกของเรากำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤต เมื่อวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถูกซ้ำเติมด้วยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำของโลกเผชิญความท้าทายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องแสดงความรับผิดชอบให้มากกว่าเดิมด้วยการเร่งลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อชดเชยความเสียหายที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน  
Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจ
เท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้
ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
 
ที่มาของรูปภาพ : www.flaticon.com