ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า “เกาหลีใต้” เป็นต้นแบบของประเทศที่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เพราะเกาหลีใต้ใช้ระยะเวลาเพียงราว 50 ปีพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากที่เคยเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในช่วงหลังสงครามเกาหลี (ปี 2493-2496) ก้าวขึ้นติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก อีกทั้งปัจจุบันยังมีแบรนด์สินค้าเป็นที่รู้จักในระดับโลกอยู่มากมาย อาทิ Samsung และ Hyundai รวมถึงเป็นผู้นำระดับโลกใน Soft Power ทั้ง K-pop และ K-series อย่างไรก็ตาม การที่เกาหลีใต้พึ่งพาการค้าสูงถึงกว่า 80% ของ GDP และสินค้าส่งออก 3 อันดับแรกของเกาหลีใต้มีสัดส่วนสูงถึงราว 1 ใน 3 ของมูลค่าส่งออกรวม ทำให้เกาหลีใต้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงสำคัญจากสถานการณ์การค้าโลกที่ไม่แน่นอน อาทิ ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ประกอบกับเกาหลีใต้เองก็มีปัญหาภายในประเทศที่หากไม่เร่งแก้ไขอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว McKinsey & Company จึงมองว่าหากเกาหลีใต้ยังติดกับดักความสำเร็จเดิม ๆ ไม่รีบปรับตัวหรือแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก็จะเหมือนกับ “กบในหม้อน้ำที่เดือดขึ้นเรื่อย ๆ (The Boiled Frog Theory)” สำหรับปัจจัยที่เป็นข้อจำกัดในการเติบโตของเกาหลีใต้มีบางปัจจัยที่คล้ายคลึงกับสถานการณ์ในประเทศไทย อาทิ

           วิกฤตด้านประชากร ที่อาจนำไปสู่การลดลงของการบริโภคและกำลังการผลิตในประเทศ ทั้งนี้ จากข้อมูลของ World Bank เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มี
อัตราการเกิดใหม่ต่ำที่สุดในโลก และมีการคาดการณ์ว่าอัตราส่วนการพึ่งพิง (Age Dependency Ratio) หรือสัดส่วนจำนวนคนที่ต้องการการพึ่งพิง (เด็กและผู้สูงอายุ) ต่อจำนวนประชากรที่อยู่ในวัยทำงานของเกาหลีใต้จะเพิ่มเป็นมากกว่า 100% ในปี 2599 ขณะที่ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) แล้วมีโอกาสเผชิญสถานการณ์ดังกล่าวในอนาคต โดยจากข้อมูล World Population Prospects 2022 ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ประมาณการว่าจำนวนประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15 ถึง 59 ปี) ของไทยจะลดลงจาก 45 ล้านคน ในปี 2564 เหลือเพียง 25 ล้านคน ในปี 2616

           ศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมหลักถดถอย หลังจากเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จในการยกระดับอุตสาหกรรมสู่
S-Curve ใหม่ จนทำให้ประเทศพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงและสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น เซมิ
คอนดักเตอร์ ยานยนต์ และเคมีภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม
เป็นระยะเวลากว่า 20 ปีแล้วที่สินค้าส่งออกหลักของประเทศยังคงเป็นสินค้าเดิม ขณะที่ขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าดังกล่าวเริ่มลดลงจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากจีน อย่างเซมิ
คอนดักเตอร์ที่เกาหลีใต้มีส่วนแบ่งตลาดในตลาดโลกลดลงจาก 16% ในปี 2561 เหลือ 10% ในปี 2565
สำหรับประเทศไทย ตลอด
ระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมาสินค้าส่งออกหลักของไทยมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักเช่นเดียวกับเกาหลีใต้
โดยสินค้าส่งออกสำคัญ
ของไทยหลายรายการเป็นสินค้าที่ตลาดมีแนวโน้มความต้องการลดลงเนื่องจากไม่สอดคล้องกับเทรนด์การบริโภคในปัจจุบัน เช่น รถยนต์สันดาปและชิ้นส่วนฯ และ Hard Disk Drive (HDD) ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ ของไทยที่กำลังจะถูกแทนที่ด้วยรถยนต์
ไฟฟ้าและ Solid State Drive (SSD) ขณะเดียวกันสินค้าไทยที่ยังครองอันดับผู้ส่งออกเบอร์ต้น ๆ ของโลกในปัจจุบัน กลับมีส่วนแบ่ง
ตลาดลดลง อาทิ ข้าวที่ไทยยังคงติด Top 3 ผู้ส่งออกของโลก แต่มีส่วนแบ่งในตลาดโลกลดลงจาก 21% ในปี 2560 เหลือ 13% ในปี 2565 เนื่องจากเป็นสินค้าพื้นฐานและใช้เทคโนโลยีไม่สูงจึงมีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้ง่าย

          แนวทางที่ McKinsey & Company แนะนำให้เกาหลีใต้ปรับตัว ซึ่งผู้ประกอบการไทยเองก็สามารถนำมาปรับใช้ได้เช่นกัน ที่สำคัญคือ การปรับโมเดลธุรกิจจากที่เน้นตลาดในประเทศให้ออกสู่ตลาดโลกมากขึ้น เนื่องจากตลาดในประเทศมีแนวโน้มที่จะหดตัวลงตามจำนวนประชากรที่ลดลง โดย McKinsey & Company แนะให้เกาหลีใต้ใช้ความแข็งแกร่งของ Soft Power ทั้ง K-pop, K-food และ K-content มาช่วยประชาสัมพันธ์ให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดโลก ขณะที่ไทยอาจสามารถสร้างโอกาสผ่าน Soft Power อย่าง Thai Series ได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังอาจปรับใช้แหล่งท่องเที่ยวของไทยให้เป็น Showroom และศูนย์ทดลองสินค้า เนื่องจากประเทศไทยมีจุดแข็งด้านการเป็น Tourist Destination ระดับโลกอยู่แล้ว (เว็บไซต์การท่องเที่ยว Travelness เปิดเผยผลสำรวจว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนมากที่สุดในโลกประจำปี 2566 และ The Telegraph สื่อใหญ่ของ
สหราชอาณาจักร รายงานว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 6 ของโลกจากการจัดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวต้องไปในปี 2567) เสมือนการขายสินค้าให้กับคนแปลกหน้าข้างบ้าน สำหรับแนวทางอื่น ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ การเปลี่ยนไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น ความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตสิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและแบรนด์แฟชั่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ ตลอดจนปรับโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมเดิมที่ยังมีศักยภาพด้วยการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น การนำ AI มาใช้แทนแรงงานบางส่วน เพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงาน

 
          ทั้งนี้ ท่ามกลางบริบทโลกในปัจจุบันที่เผชิญหน้ากับปัจจัยเสี่ยงใหม่ ๆ และมีความผันผวนสูง ทำให้แนวทางการดำเนินธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีตไม่ได้การันตีถึงความสำเร็จในอนาคต ดังนั้น การรู้เท่าทันและปรับตัวให้สอดรับกับปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยอาจนำแนวทางดังกล่าวมาปรับใช้ จะมีส่วนช่วยพัฒนาและยกระดับธุรกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่สะดุดและสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน    
 
Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจ
เท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้
ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด