ธุรกิจค้าปลีก...ช่องทางสำคัญในการเจาะตลาดสินค้า
อุปโภคบริโภคในพม่า
 
           ตลาดค้าปลีกในพม่านับว่ามีศักยภาพในการขยายตัวอย่างรวดเร็วตามกำลังซื้อของชาวพม่าที่มีแนวโน้ม
เพิ่มขึ้นจากทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจพม่าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) คาดว่าเศรษฐกิจพม่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ
5.5 ในปี 2554 เป็นร้อยละ 6 และร้อยละ 6.3 ในปี 2555 และปี 2556 ตามลำดับ รวมทั้งคาดว่ารายได้ต่อหัวของ
ชาวพม่าจะเพิ่มขึ้นเป็น
2,000-3,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าจากระดับปัจจุบัน
สะท้อนถึงศักยภาพของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในพม่าที่มีแนวโน้มเติบโตดี
ทั้งนี้ ธุรกิจค้าปลีกมีความ
สำคัญอย่างยิ่งในการเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในพม่าซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นส่วนใหญ่
เนื่องจากพม่ายังไม่สามารถผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งธุรกิจค้าปลีก
ในพม่าอยู่ในระยะเริ่มต้น จึงยังมีโอกาสเปิดกว้างอีกมากสำหรับนักลงทุน โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
          ธุรกิจค้าปลีกในพม่ามีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (U.S. Department
of Agriculture : USDA) ประมาณการมูลค่าการค้าปลีกในพม่าอยู่ที่ราว 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิด
เป็นสัดส่วนราวร้อยละ 15 ของ GDP รวมทั้งระบุว่าธุรกิจค้าปลีกในพม่ามีแนวโน้มขยายตัวอย่างมี
นัยสำคัญสอดคล้องกับที่บริษัท Hypertrade ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านการตลาดประมาณการว่ามูลค่า
การค้าปลีกในพม่าอยู่ที่ราว 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการขยายตัวถึงร้อยละ 20 ในปี 2554

เมื่อผนวกกับจำนวนประชากรที่มากราว 55 ล้านคน ในจำนวนนี้เกือบร้อยละ 70 อยู่ในวัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มี
กำลังซื้อและมีความต้องการจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อสินค้าและบริการ ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของพม่า
ที่มีทิศทางดีขึ้น โดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศซึ่งมีความก้าวหน้ามากขึ้นเป็นลำดับและได้รับเสียงตอบรับอย่าง
กว้างขวางจากนานาประเทศ ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสของธุรกิจค้าปลีกในพม่า
          ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ครองส่วนแบ่งตลาดด้วยสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 90
ของธุรกิจค้าปลีกทั้งหมด
ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นร้านขายอาหารแห้ง (Dry Food Stores) ร้านขายของชำที่มิใช่
อาหาร (Non-food Stores) รวมถึงร้านขายผลิตภัณฑ์เสริมความงาม (Beauty Stores) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่าง
ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) มีโอกาสอีกมากในการขยายส่วนแบ่ง
ตลาด
เนื่องจากยังมีจำนวนร้านค้าปลีกประเภทนี้ไม่มากนัก อีกทั้งสินค้าที่จำหน่ายในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ส่วนใหญ่
เป็นสินค้านำเข้า ซึ่งเน้นสินค้าที่มีคุณภาพสูงกว่าสินค้าที่จำหน่ายในร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า
ระดับบน นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งผู้ประกอบการร้านอาหารและโรงแรม ทั้งนี้ ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ในพม่า
ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าปลีกประเภทซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเศรษฐกิจสำคัญ
โดยเฉพาะเมืองย่างกุ้ง และดำเนินงาน โดยผู้ประกอบการชาวพม่า อาทิ
City Mart Supermarket,
Ocean Supercenter และ Capital Hypermarket เป็นต้น

          พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของชาวพม่าเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจค้าปลีก ผลสำรวจของบริษัท
Hypertrade และ USDA เกี่ยวกับพฤติกรรมของชาวพม่าในการซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกพบว่ามีความสอดคล้องกัน
โดยระบุว่าชาวพม่าจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อสินค้าในร้านค้าปลีก 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้จ่ายเงินเฉลี่ย
ครั้งละ 5 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,500 จ๊าต
สินค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคภายในบ้าน เช่น
น้ำตาลทราย น้ำปลา น้ำมันพืช นอกจากนี้ ระยะเวลาเฉลี่ยต่อครั้งที่ชาวพม่าเลือกซื้อสินค้าในร้านค้าปลีกแบบ
ดั้งเดิมอยู่ที่ราว
15 นาที ขณะที่ปริมาณการซื้อสินค้าในช่วงวันหยุดและวันธรรมดามีความแตกต่างกัน
ไม่มากนัก
ทั้งนี้ ปัจจุบันร้านค้าปลีกในพม่ามีเป้าหมายเพื่อจำหน่ายสินค้าเป็นหลัก และยังไม่มีพื้นที่สำหรับกิจกรรม
พักผ่อนหย่อนใจ (Entertaining Experience) เช่น การวาดภาพ ระบายสี ตอบคำถามชิงรางวัล และสร้างสรรค์
สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เหมือนที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในไทย จึงเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกอาจใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อ
ดึงดูดผู้ซื้อชาวพม่าได้
          กลยุทธ์การทำธุรกิจค้าปลีกในพม่าเน้นความหลากหลายเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด ชาว
พม่าจะเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกที่มีสินค้าให้เลือกหลากหลายและมีสินค้าพร้อมวางจำหน่ายมากกว่าคำนึงถึง
ปัจจัยด้านราคา ดังนั้น ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกควรมีการคัดเลือกสินค้าที่นำมาวางจำหน่ายให้มีความ
หลากหลายและตรงกับความต้องการของตลาด
นอกจากนี้ ชาวพม่ายังคำนึงถึงความสะดวกในการเลือกซื้อ
สินค้าจากชั้นวาง ผู้ประกอบการจึงควรทำป้ายบอกตำแหน่งสินค้าและจัดวางสินค้าเป็นหมวดหมู่เพื่ออำนวย
ความสะดวกมากขึ้นให้แก่ผู้ซื้อ
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเปิด
ประเทศของพม่าทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศมีแนวโน้มหลั่งไหลเข้ามาในพม่ามากขึ้น ปัจจัยด้านราคา
จึงมีแนวโน้มทวีความสำคัญมากขึ้นในการพิจารณาเลือกซื้อสินค้า รวมถึงเลือกเข้าร้านค้าปลีกของผู้บริโภค
         ธุรกิจค้าปลีกในพม่านับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่นักลงทุนไทยไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มขยายตัว
ตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าจากไทย ซึ่ง
ชาวพม่าถือว่าเป็นสินค้าคุณภาพดี
โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน อาทิ
น้ำตาลทราย น้ำปลา น้ำมันพืช ซอสปรุงรส ผงชูรส สบู่ แชมพู ยาสีฟัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกในพม่า
ส่วนใหญ่มีพื้นที่ใช้สอยจำกัดเพียง
35-45 ตารางเมตร ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าสินค้าอุปโภคบริโภคจาก
ไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในการแย่งชิงพื้นที่บนชั้นวางสินค้าในร้านค้าปลีกจากการหลั่งไหล
เข้ามาของสินค้าจากนานาประเทศ
นอกจากนี้ นักลงทุนที่สนใจเข้าไปลงทุนธุรกิจค้าปลีกในพม่าอาจเผชิญกับ
ปัญหาความไม่พร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาขาดแคลนกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นประเด็นที่นักลงทุนไทยควรเตรียมรับมือ รวมถึงควรศึกษาข้อมูลด้านการลงทุนในพม่าอย่างรอบคอบก่อน
ตัดสินใจเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะกฎระเบียบเกี่ยวกับการจัดตั้งธุรกิจค้าปลีก รวมทั้งรายละเอียดปลีกย่อยที่เกี่ยวข้อง
เพื่อช่วยให้การทำธุรกิจค้าปลีกในพม่าดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
 
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไป
เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่
รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด