การติดต่อธุรกิจกับชาวเวียดนาม

 
           เวียดนามเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียนที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างโดดเด่น โดยมีอัตราขยายตัวในระดับสูง
ต่อเนื่องมาหลายปี แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะถดถอย อีกทั้งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรสูงถึง 90
ล้านคน มากเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ในด้านการค้าเวียดนามถือเป็นคู่ค้าสำคัญ
ของไทย โดยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 9 ด้วยมูลค่าส่งออกกว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 11 เดือนแรกปี 2555 ขณะเดียวกันในด้านการลงทุนเวียดนามก็เป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ของนักลงทุนทั้งจากไทยและประเทศอื่นๆ ที่ต้องการขยายการลงทุนมายังอาเซียน จากการที่เวียดนามมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ระบบสาธารณูปโภค
พื้นฐานได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเวียดนามได้รับสิทธิพิเศษทางการค้า อาทิ GSP จากประเทศต่างๆ และ FTAs ที่เวียดนามทำกับหลายประเทศ จึงเป็นปัจจัยที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี
         สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการทำการค้าหรือเข้าไปลงทุนในเวียดนาม นอกเหนือจากการศึกษาตลาด
และกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังควรเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติของชาวเวียดนาม ตลอดจนการทำความ
เข้าใจถึงบุคลิกและอุปนิสัยของชาวเวียดนาม เพื่อให้การติดต่อธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสําเร็จ
 
  อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ระหว่างปี 2549-2555  
  หมายเหตุ : * ตัวเลขคาดการณ์
ที่มา : IMF, October 2012
 
           ธรรมเนียมน่ารู้และข้อควรทราบในการติดต่อธุรกิจกับชาวเวียดนาม
         การแลกเปลี่ยนนามบัตรเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งในการทําธุรกิจในเวียดนาม ผู้ประกอบการควรพกนามบัตร
จํานวนมากติดตัวไว้เสมอ เนื่องจากผู้ประกอบการชาวเวียดนามนิยมแลกเปลี่ยนนามบัตร การแลกนามบัตรควรใช้มือ
ทั้ง 2 ข้างยื่นหรือรับนามบัตรจากคู่เจรจา และอาจค้อมศีรษะเล็กน้อยเพื่อเป็นการให้เกียรติ เมื่อรับนามบัตรมาแล้ว
ควรอ่านนามบัตรอย่างใส่ใจไม่ควรเก็บนามบัตรทันที
         การเลี้ยงน้ำชาในการพบปะกันชาวเวียดนามมักต้อนรับด้วยการเลี้ยงน้ำชา และบางครั้งอาจเสิร์ฟพร้อม
ของว่างเล็กๆ น้อยๆ ท่านไม่ควรปฏิเสธเพราะถือว่าไม่สุภาพ อย่างน้อยควรดื่มชาหรือลองชิมของว่างดูสักเล็กน้อย
 
         งานเลี้ยงรับประทานอาหาร โดยปกติชาวเวียดนามใช้
ตะเกียบในการรับประทานอาหาร พร้อมถือชามข้าวไว้ในมือ
อีกข้างหนึ่ง การรับประทานโดยวางชามข้าวไว้บนโต๊ะแสดงถึง
ความขี้เกียจ ทั้งนี้ หากต้องส่งจานอาหารให้แก่กันควรใช้ทั้งสอง
มือประคองจาน
         การมอบของขวัญ ของขวัญที่มอบแก่ชาวเวียดนาม ควร
 

ผงสีขาวในขวดหรือจานเล็กๆ
ที่พบบนโต๊ะอาหารในเวียดนาม
มักเป็นผงชูรสมากกว่า
น้ำตาลหรือเกลือ

 
  เป็นของที่มีมูลค่าไม่สูงนัก อาทิ ขนม ของหวาน ผลไม้ หรือของใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันอย่างเครื่องสำอาง โคมไฟ
และกรอบรูป เพื่อมิให้ถูกมองว่าเป็นการติดสินบน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการอาจเลือกซื้อของฝากจากประเทศไทยหรือ
นำของที่ติดตราบริษัทของท่านไปมอบให้เป็นของขวัญ ทั้งนี้ ควรห่อของขวัญด้วยกระดาษสีสดใสและไม่ควรมอบ
ของขวัญเป็นผ้าเช็ดหน้า ของที่มีสีดำ ดอกไม้สีเหลือง โดยเฉพาะดอกเบญจมาศ ซึ่งสื่อถึงงานศพหรือวัตถุมีคม
จำพวกมีด กรรไกร ซึ่งสื่อถึงการตัดความสัมพันธ์ ทั้งนี้ หากได้รับเชิญไปที่บ้านของชาวเวียดนาม นอกจากของขวัญ
สำหรับเจ้าบ้านแล้ว หากเตรียมของขวัญสำหรับเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ในบ้านด้วยจะช่วยสร้างความประทับใจมากขึ้น
         ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตัดสินใจทำธุรกิจของชาวเวียดนาม
ผู้ประกอบการที่สนใจค้าขายกับชาวเวียดนามจึงจำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อสร้างความสัมพันธ์หรือสร้างความ
ไว้วางใจก่อนที่จะเจรจาการค้าหรือตกลงร่วมทำธุรกิจกัน โดยส่วนใหญ่การพบกันในครั้งแรกๆ มักเน้นไปที่การทำ
ความรู้จักกันเป็นหลัก หลังจากทำความรู้จักกันแล้ว ผู้ประกอบการควรไปพบปะคู่ค้าชาวเวียดนามเพื่อติดต่อเจรจา
การค้าหรือเสนอขายสินค้าด้วยตนเอง จากนั้นอาจไปเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราว รวมถึงโทรศัพท์ ส่งอีเมลถึงกันตาม
ความเหมาะสม การเดินทางไปเจรจาธุรกิจเพียงครั้งเดียวโดยไม่มีการติดต่อกันอย่างต่อเนื่องในภายหลัง มักไม่
ประสบผลสำเร็จในการเจรจาซื้อขาย ขณะเดียวกัน การพยายามติดต่อธุรกิจกับชาวเวียดนามทางโทรศัพท์หรืออีเมล
ตั้งแต่แรก โดยไม่มีการพบปะกันก็มักไม่ประสบผลสำเร็จเช่นกัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรติดต่อนัดหมายวันเวลาที่จะ
เข้าพบล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนวันนัดหมาย
         ชาวเวียดนามคุ้นเคยกับความสัมพันธ์แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ดังนั้นแม้ชาวเวียดนามจะไม่เห็นด้วยกับ
สิ่งที่คู่เจรจาเสนอแต่จะไม่ปฏิเสธหรือแสดงความเห็นแย้ง เนื่องจากเห็นว่าอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียหน้า จึงใช้วิธี
นิ่งเงียบแทน หรือในบางกรณี การตอบรับ (Yes) หรือพูดว่า “ไม่มีปัญหา” ก็อาจเป็นเพียงการตอบเพื่อถนอมน้ำใจ
อีกฝ่ายมากกว่า ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องพึงระลึกเสมอว่าการที่ชาวเวียดนามพยักหน้าหรือตอบรับในระหว่างการ
เจรจาอาจมิได้หมายความว่ายอมรับเสมอไป
         การดำเนินธุรกิจของชาวเวียดนามมักยึดการตัดสินใจของเสียงส่วนใหญ่ในองค์กรเป็นหลัก หรือ
อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจเพียงคนเดียว การทำข้อตกลงหรือดำเนินการในเรื่องสำคัญ
มักต้องอาศัยการตัดสินใจของคณะกรรมการ และหากคณะกรรมการหรือที่ประชุมมีความเห็นไม่ตรงกันแม้เพียง
เล็กน้อยก็ต้องพยายามหาข้อยุติที่ทุกฝ่ายพอใจ ทำให้การตัดสินใจบางเรื่องใช้เวลานาน และอาจมีการเปลี่ยนแปลง
จากที่เคยตกลงกับคู่เจรจาไว้ก่อนหน้า
         ผู้ประกอบการเวียดนามที่มีความเชี่ยวชาญอาจทำธุรกิจหลายประเภทพร้อมกัน เช่น บริษัทที่มีความ
เชี่ยวชาญในการนำเข้าและกระจายสินค้าอาหาร อาจลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์
ด้วย จึงมีความเป็นไปได้ที่บริษัทนั้นจะให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ทำกำไรหรือก่อให้เกิดรายได้สูงกว่า และลดหรือหยุด
การทำธุรกิจที่มีกำไรน้อย ซึ่งนับเป็นความเสี่ยงหนึ่งของผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจกับชาวเวียดนามที่ดำเนิน
ธุรกิจหลายอย่างพร้อมๆ กัน
         ผู้นำเข้าชาวเวียดนามมักปฏิบัติตามแบบพิธีการนำเข้าเดิมๆ ที่เคยปฏิบัติมาเป็นหลัก จึงอาจขาด
การติดตามระเบียบการนำเข้าใหม่ๆ
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการนำเข้าที่อาจจะเกิดขึ้น ผู้ประกอบการไทยจึง
ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่างๆ ของเวียดนามด้วยเช่นกัน
 
         สำนักยุทธศาสตร์และนโยบายการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแนะนำว่า
ผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนทำธุรกิจในเวียดนามควรเจรจาขอให้ชำระค่าสินค้าเป็นเงินสด เพราะการ
ติดตามหนี้ในเวียดนามทำได้ยาก การดำเนินคดีมีขั้นตอนยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่หากสินค้ายังไม่เป็นที่
รู้จักและต้องการเปิดตลาด อาจต้องยอมให้เครดิตแก่ผู้ซื้อ และพยายามจำกัดวงเงิน เพื่อป้องกันความ
เสี่ยงที่จะไม่ได้รับชำระค่าสินค้า
 
           แม้ชาวเวียดนามมีบุคลิกหรือลักษณะนิสัยบางอย่างต่างจากคนไทย แต่การเปิดใจที่จะเรียนรู้ ทำความเข้าใจ
และยอมรับซึ่งกันและกัน จะช่วยให้การติดต่อธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นซึ่งจะส่งผลต่อความสำเร็จของการติดต่อ
ธุรกิจกับชาวเวียดนาม
 
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไป
เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่
รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด