เจาะตลาดสินค้าส่งออกที่มีศักยภาพของไทยในพม่า  
   
           การปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลพม่าส่งผลให้พม่าได้รับความสนใจมากจากผู้ประกอบการทั่วทุก
มุมโลก ในฐานะประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและเต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ ทั้งนี้ The Economist
Intelligence Unit (EIU) คาดว่า เศรษฐกิจพม่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5 ในปี 2555 เป็นร้อยละ
5.5 ในปี 2556 และร้อยละ 6.2 ในปี 2557
ขณะที่กำลังซื้อของชาวพม่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามระดับการพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้น แต่พม่ายังไม่สามารถผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคใน
ประเทศได้อย่างเพียงพอ ทำให้การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะด้านการนำเข้า มีความสำคัญอย่างมากต่อพม่า
         ปัจจุบันพม่านำเข้าสินค้าจากจีนมากเป็นอันดับ 1 มีสัดส่วนเกือบร้อยละ 40 ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดของพม่า
ขณะที่ไทยเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญอันดับ 2 มีสัดส่วนร้อยละ 23 ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดของพม่า ทั้งนี้ สินค้าไทย
มีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของชาวพม่า เนื่องจากชาวพม่ามองว่าสินค้าไทยเป็นสินค้าระดับบน มีคุณภาพ
สูง รูปลักษณ์สวยงามและทันสมัย ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และบุคลิกภาพให้แก่ผู้ใช
เมื่อ
ประกอบกับทำเลที่ตั้งของไทยกับพม่าที่มีพรมแดนติดต่อกันถึง 2,401 กิโลเมตร จึงเอื้อประโยชน์ต่อการค้าระหว่าง
กันตามแนวชายแดน สะท้อนได้จากมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยกับพม่าในปี 2555 มีสัดส่วนถึงร้อยละ 85
ของมูลค่าการค้าทั้งหมดระหว่างไทยกับพม่า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังมีความคุ้นเคยและค้าขายกับพม่ามา
ยาวนาน อีกทั้งการก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี 2558
จะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการค้าการลงทุนเหนือประเทศนอกกลุ่ม ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสะท้อน
ให้เห็นว่าผู้ประกอบการไทยมีความได้เปรียบในการขยายการส่งออกสินค้าไปพม่า สำหรับสินค้าส่งออกของไทยที่มี
ศักยภาพในการเจาะตลาดพม่าที่สำคัญมีดังนี้

         สินค้าอุปโภคบริโภค
         ชาวพม่ามีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับสินค้าอุปโภคบริโภคของไทย เนื่องจากส่วนหนึ่งเคยใช้สินค้าไทย ใน
ขณะที่ตนเองหรือญาติเข้ามาทำงานในประเทศไทย จึงมีความเชื่อมั่นและถือว่าสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทยเป็น
สินค้าคุณภาพดี ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยเกือบทุกชนิดเป็นที่ต้องการในพม่า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภค
บริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน อาทิ น้ำตาลทราย น้ำปลา น้ำมันพืช ซอสปรุงรส และผงชูรส

เป็นต้น ขณะที่อาหารสำเร็จรูปและอาหารพร้อมรับประทานเริ่มได้รับความนิยมจากชาวพม่ามากขึ้นเป็นลำดับ
โดยเฉพาะชาวพม่าที่อยู่ในเมืองเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ กรุงเนปิดอว์ เมืองย่างกุ้ง และเมืองมัณฑะเลย์ เพื่อให้สอดรับ
กับวิถีชีวิตที่เร่งรีบขึ้น ทั้งนี้ พม่าเป็นตลาดส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารสำเร็จรูปอันดับ 4 ของไทย รองจาก
สหรัฐฯ ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น
         นอกจากนี้ พม่ายังเป็นตลาดส่งออกเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (Soft Drink) อันดับ 1 ของไทย ซึ่ง
ส่วนใหญ่เป็นเครื่องดื่มประเภทเครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มเกลือแร่ นมถั่วเหลือง และชาพร้อมดื่ม ทั้งนี้ มูลค่า
ส่งออกเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยไปพม่ามีอัตราการขยายตัวสูงในระดับ 2 หลักมาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียว
กับมูลค่าส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคประเภทเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ซึ่งมีอัตราการขยายตัว
ในระดับ 2 หลักเช่นกัน เนื่องจากชาวพม่าโดยเฉพาะกลุ่มสตรีวัยทำงาน ซึ่งมีสัดส่วนราวร้อยละ 35 ของประชากร
ทั้งหมดในพม่า ให้ความสำคัญกับการรักษาความงามของร่างกายและผิวพรรณให้ดูดีอยู่เสมอ เนื่องจากได้รับอิทธิพล
จากสื่อไทย ทำให้มีความต้องการสินค้าในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น
         สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ยังเป็นการจัดจำหน่ายผ่านธุรกิจค้าปลีกแบบ
ดั้งเดิม ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดราวร้อยละ 80 ของธุรกิจค้าปลีกทั้งหมดในพม่า อย่างไรก็ตาม ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่
มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองเศรษฐกิจสำคัญอย่างเมืองย่างกุ้ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่องทางการ
จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่สำคัญในอนาคต

         สินค้าทุน เครื่องจักร และวัสดุก่อสร้าง
         ปัจจุบันพม่าอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ ถนน ท่าเรือ สนามบิน และโรงไฟฟ้า
เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคม
อุตสาหกรรมทวาย ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงการก่อสร้างโรงแรม
และที่พักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวของพม่า
รายงานว่า ในปี 2555 พม่ามีห้องพัก 28,291 ห้อง จากโรงแรมและที่พักทั้งหมด 787 แห่งทั่วประเทศ ในจำนวนนี้
เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไปเพียง 23 แห่ง หรือราวร้อยละ 3 ของจำนวนโรงแรมและที่พักทั้งหมด อีกทั้งในฤดูกาล
ท่องเที่ยว (พฤศจิกายน-มีนาคม) ห้องพักทั่วประเทศถูกจองเต็มเกือบทั้งหมด ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าที่
เกี่ยวกับการก่อสร้าง อาทิ เครื่องจักรกล ปูนซีเมนต์ และเหล็ก
มากขึ้น เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างต่างๆ มี
การคาดการณ์ว่า ในปี 2556 พม่าจะนำเข้าวัสดุก่อสร้างจากไทยเพิ่มขึ้นเป็น 350-364 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คิดเป็นร้อยละ 20 ของมูลค่านำเข้าวัสดุก่อสร้างทั้งหมด
ทั้งนี้ ในปี 2555 พม่าเป็นตลาดส่งออกปูนซีเมนต์
อันดับ 1 ของไทย
         สำหรับการส่งออกสินค้าประเภทอุปกรณ์และเครื่องจักรกลการเกษตร อาทิ เครื่องสีข้าวขนาดเล็ก
รถไถนาเดินตาม เครื่องใส่ปุ๋ย เครื่องสูบน้ำ และเครื่องพ่นย่าฆ่าแมลงแบบโยกด้วยมือ
ก็มีโอกาสขยายตัว
เช่นกัน เนื่องจากชาวพม่าส่วนใหญ่ยังประกอบอาชีพในภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ
มีสัดส่วนถึงร้อยละ 60 ของ GDP ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าอุปกรณ์และเครื่องจักรกลการเกษตรที่เหมาะกับ
ตลาดพม่าควรมีเทคโนโลยีไม่ซับซ้อน
ใช้งานง่าย สามารถซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาได้ด้วยตัวเอง และ
ราคาไม่สูงนัก
เนื่องจากเกษตรกรชาวพม่าส่วนใหญ่ยังขาดทักษะ และมีข้อจำกัดด้านเงินทุน

         ตลาดพม่าเริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น หลังจากหลายประเทศทยอยยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรพม่าอย่าง
ต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกและนักลงทุนของประเทศนั้นสามารถดำเนินธุรกรรมต่างๆ กับพม่าได้ สะท้อน
ให้เห็นว่าผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรเตรียมรับมือกับ
สถานการณ์ดังกล่าว ด้วยการหาพันธมิตรที่เป็นคนท้องถิ่นที่ไว้ใจได้เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการติดต่อ
ประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ และให้ข้อมูลด้านการค้าการลงทุนเชิงลึกยิ่งขึ้น รวมถึงการเดินทางไปสำรวจและ
ศึกษาตลาดในพม่าด้วยตนเองเพื่อให้รู้จักรสนิยมของผู้บริโภคชาวพม่า และนำไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของตนให้
สอดคล้องกับความต้องการของชาวพม่ามากขึ้น
 
  Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไป
เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่
รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
 
  ภาพประกอบจาก www.google.co.th การเผยแพร่ภาพนี้เพื่อแนะนำข้อมูลด้านการค้าและการลงทุนในต่างประเทศ